วันพุธ ที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568
บริษัทหลักทรัพย์(บล.)เคจีไอ(ประเทศไทย)วิเคราะห์หุ้นบริษัทปูนซิเมนต์ไทย หรือ SCC กำไรสุทธิของ SCC ใน 2Q63 อยู่ที่ 9.6 พันล้านบาท (+33.2% YoY, +34.6% QoQ) ดีกว่าประมาณการของเรา 7.7% แต่เป็นไปตาม Bloomberg consensus เนื่องจากธุรกิจปูนซีเมนต์ วัสดุก่อสร้าง และเคมีภัณฑ์ดีกว่าคาด กำไรสุทธิใน 1H63 คิดเป็น 50.8% ของประมาณการกำไรปีนี้ของเรา บริษัทประกาศจ่ายเงินปันผลงวด 1H63 ที่ 5.50 บาท/หุ้น (กำหนดขึ้น XD วันที่ 13 สิงหาคม 2563) คิดเป็นอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลที่ 1.4% กำไรที่เพิ่มขึ้น YoY เพราะไม่มีค่าใช้จ่ายชดเชยพนักงาน กำไรที่เพิ่มขึ้น QoQ เป็นเพราะ spread เคมีภัณฑ์ขยับเพิ่มขึ้น
i) กำไรจากธุรกิจเคมีภัณฑ์ (48.6% ของกำไรใน 2Q63) เพิ่ม 156.7% QoQ เนื่องจาก i) ปริมาณยอดขาย polyolefin อยู่ที่491,000 kt (+4% YoY,+17% QoQ) เพราะมีการระบายสต๊อก และ ii) spread ของ HDPE และ PP เพิ่มขึ้น (+22% และ 9% ตามลำดับ)
ii) กำไรจากธุรกิจปูนซีเมนต์-วัสดุก่อสร้าง (20.7% ของกำไรใน 2Q63) ลดลง 30.0% QoQ เพราะขาดทุนด้อยค่าจากสินทรัพย์ในอินโดนีเซีย 700 ล้านบาท เพราะถูกกระทบจาก COVID-19 แต่หากไม่รวมกำไรจากธุรกิจหลักจะทรงตัว QoQ เพราะประสิทธิภาพการดำเนินงานดีขึ้น และต้นทุนพลังงานที่ลดลงหักล้างไปกับอุปสงค์ที่อ่อนแอในช่วง lockdown
iii) กำไรจากธุรกิจบรรจุภัณฑ์ (20.3% ของกำไรใน 2Q63) เพิ่มขึ้น 9.9% QoQ เป็น 1.9 พันล้านบาท เนื่องจากมีกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนที่ยังไม่รับรู้จาก PT Fajar (500 ล้านบาท) และมีกำไรจากการปรับกฎหมายภาษีที่อินโดนีเซีย (200 ล้านบาท) เราคาดว่ากำไรจากธุรกิจหลักจะลดลง 35.6% QoQ เหลือ 1.35 พันล้านบาท เพราะสายธุรกิจ Fibrous ถูกกระทบจาก lockdown และอุปสงค์บรรจุภัณฑ์กระดาษจากกลุ่มสินค้าคงทนลดลงอย่างมาก
เพิ่มประมาณการกำไรสุทธิปี 2564 ขึ้น 21.1%
เราคงประมาณการปี 2563 (ปรับ chemical spread ขึ้น ชดเชยด้วยค่าใช้จ่ายในการปิดซ่อมใหญ่) และปรับประมาณการกำไรสุทธิปี 2564 ขึ้น 21.1% เนื่องจากเราปรับสมมุติฐานของธุรกิจเคมีภัณฑ์ โดยปรับ spread ของ HDPE ขึ้นอีก 25% เป็น US$500/t และปรับ spread ของ PP ขึ้นอีก 1.6% เป็น US$570/t เนื่องจากเราพบว่า spread ของ HPDE มีแนวโน้มทรงตัวหลังจากผ่านจุดต่ำสุดที่ระดับต่ำกว่า US$400/t
เราปรับเพิ่มคำแนะนำจากขายเป็นถือ และปรับเพิ่มราคาเป้าหมาย 1H64 เป็น 388 บาท เรามองว่าผลประกอบการใน 2H63 มีแนวโน้มจะลดลง HoH เนื่องจาก i) มีการตุนสต๊อก polyolefin สำหรับการซ่อมบำรุงใหญ่ของ MOC (45 วัน) ii) คาดว่าต้นทุน naphtha จะสูงขึ้น และ iii) ความไม่แน่นอนของอุปสงค์สินค้าคงทนซึ่งคาดว่าจะใช้ฟื้นตัวนาน ทั้งนี้การขยายกำลังการผลิต MOC คงตามแผนใน 1H64
ปัจจัยเสี่ยงจากความล่าช้าของก่อสร้างภาครัฐ ต้นทุนพลังงานมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น และความผันผวนของ spread เคมีภัณฑ์
ที่มา : บล.เคจีไอ(ประเทศไทย)

'ผบช.ไซเบอร์'เผยเร่งประสาน'ตำรวจสากล' ขอหมายแดงจับ'ลียง พัด'
'โม้อมตะ'คืนชีพ! มวยสากลดึง'สมรักษ์' ร่วมทัพฝ่ายเทคนิคสมาคมฯ
'นายกฯ'เย้ย'เขมร' บอกเจอจระเข้งับ อย่าหางจุกตูดละกัน
'นฤมล' ต้อนรับ 'หมอนทองวิทยา' ปลุกพลังเยาวชนลูกหนัง พร้อมตั้ง อ.สกล นั่งที่ปรึกษาสพฐ.
ทบ.ยิงตอบโต้ทหาร'เขมร' หลังป่วน'หนองหญ้าแก้ว'นาน 10 นาที ไร้บาดเจ็บ

เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี