nn แม้ว่าภาคธุรกิจและสังคมจะให้การตอบรับที่ดีกับรัฐมนตรีใหม่ในกระทรวงเศรษฐกิจสำคัญ ทั้งกระทรวงการคลัง กระทรวงพลังงาน รองนายกรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจ รวมทั้งการที่นายกรัฐมนตรี จะลงมาคุมทีมเศรษฐกิจด้วยตัวเอง แต่ทุกภาคส่วนก็รู้ดีว่าปัญหาด้านเศรษฐกิจที่รออยู่ข้างหน้าถือว่าเป็นโจทย์ที่ยากและท้าทาย ด้วยผลกระทบจากการระบาดของโควิด-19 นั้น ส่งผลกระทบต่อภาวะเศรษฐกิจโลกอย่างหนัก และด้วยโครงสร้างเศรษฐกิจไทย ที่พึ่งพาภาคการค้าระหว่างประเทศเป็นหลัก ทั้งการส่งออกและการท่องเที่ยว (80% ของจีดีพี) ดังนั้นปัจจัยสำคัญที่จะพยุงเศรษฐกิจไทยไม่ให้ทรุดตัวไปมากกว่านี้ก็คือต้องพึ่งพาเศรษฐกิจในประเทศเป็นหลัก ไม่ว่าจะเป็นการกระตุ้นการท่องเที่ยวในประเทศ การบริโภคของภาคเอกชน การบริโภคของภาคครัวเรือนแต่ถ้าจะทำเช่นนั้นได้ กุญแจสำคัญคือต้องทำให้ คนในประเทศมีรายได้
แต่เมื่อภาคการผลิตเพื่อการส่งออกการบริการที่เกี่ยวเนื่องกับการท่องเที่ยวที่ต้องปิดกิจการลงไป ทำให้เกิดปัญหาการว่างงานเพิ่มขึ้น ถ้าจะทำให้คนไทยมีงานทำ และกลับมามีรายได้ กิจการด้านเศรษฐกิจในประเทศก็ต้องเดินหน้าได้ ซึ่งเวลานี้สิ่งเดียวที่จะเข้ามาขับเคลื่อนได้คือ การลงทุนของภาครัฐ ซึ่งตัวเลขที่ตั้งไว้ในงบประมาณและแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี รัฐบาลจะมีการลงทุนสร้างโครงสร้างพื้นฐานสำคัญๆ ประมาณ 2-3 ล้านล้านบาท
ถึงกระนั้นการเดินหน้าลงทุนของภาครัฐก็ยังไม่ใช่คำตอบสุดท้ายที่จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศได้ ถ้าสุดท้ายแล้วคนที่ได้งานจากรัฐคือนักลงทุนรายใหญ่จากต่างชาติ และพัสดุที่ใช้ส่วนใหญ่คือสินค้านำเข้าจากต่างประเทศ ดังนั้นภาคเอกชนของไทย ทั้ง สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) สภาหอการค้าไทย และสมาคมธนาคารไทย จึงได้ร่วมกันเสนอแนะและเรียกร้องต่อรัฐบาล ให้ใช้นโยบาย Made in
Thailand และ Thai First โดยโครงการลงทุนของภาครัฐทั้งหมดจะต้องใช้พัสดุที่ผลิตในประเทศ60% และจากการหารือระหว่างภาคเอกชน 3 สถาบันกับรัฐบาลในหลายวาระ ก็ดูเหมือนว่ารัฐบาลเองก็เห็นด้วยกับข้อเสนอนี้ของภาคเอกชน
ความคืบหน้าล่าสุดเร็วๆ นี้ กระทรวงการคลังกำลังจะเสนอต่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรี เพื่อพิจารณาอนุมัติร่างกฎกระทรวงการคลัง เพื่อส่งเสริมการใช้พัสดุในประเทศไทยในการจัดซื้อจัดจ้างของภาครัฐ ในสัดส่วนไม่น้อยกว่า 60% และแก้ไขระเบียบพัสดุ ในเรื่องของราคา ว่า
หากพัสดุในประเทศมีราคาแพงกว่าสินค้านำเข้าในระดับ 3-5% ก็ให้สามารถจัดซื้อจัดจ้างได้ จากเดิมที่กำหนดไว้เพียงแค่ 1% เท่านั้น
แน่นอนว่าเมื่อพูดถึงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ วัสดุก่อสร้างสำคัญที่ต้องใช้เป็นส่วนใหญ่คือ ปูนซีเมนต์ และสินค้ากลุ่มเหล็ก ในส่วนของปูนซีเมนต์ที่ผ่านมา ผู้ประกอบการยังไม่พบปัญหาขั้นวิกฤติ เหมือนกับผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมเหล็กของไทย ซึ่งเจอปัญหาใน
ขั้นวิกฤติก่อนที่จะเกิดการระบาดโควิด-19 เสียด้วยซ้ำไป ซึ่งนอกจากจะพบปัญหาจากปริมาณความต้องการใช้ในประเทศลดลงตามภาวะเศรษฐกิจที่ซบเซาแล้ว ยังถูกซ้ำเติมด้วยการถูกทุ่มตลาดของสินค้าเหล็กนำเข้า จนทำให้อุตสาหกรรมเหล็กในประเทศ มีกำลังการผลิตเพียงแค่ 30% ต่อเนื่องมากว่า 5 ปี
ปัญหาสินค้าเหล็กทุ่มตลาดจากต่างประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากจีน เป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นจริงและรุนแรงไปทั่วโลก ไม่ใช่แค่ผู้ประกอบการคนไทยเท่านั้นที่เดือดร้อน แม้กระทั่ง บริษัทเหล็กยักษ์ใหญ่จากญี่ปุ่น หรือเกาหลีใต้ ซึ่งมีความเข้มแข็งมากทั้งในด้านเทคโนโลยีและเงินทุนที่มาตั้งโรงงานเหล็กในไทยและถือเป็นผู้ประกอบการในประเทศไทย เป็นสมาชิกของกลุ่มอุตสาหกรรมเหล็กฯยังต้องยื่นเรื่องฟ้องต่อภาครัฐเพื่อขอให้ใช้มาตรการทางการค้า และหากวิกฤตินี้ไม่ได้รับการแก้ไขจริงจังจนการใช้กำลังการผลิตเหล็กภายในประเทศลดลงเรื่อยๆ ถึงจุดหนึ่ง ผู้ประกอบการต่างๆ ก็อาจไม่สามารถดำเนินกิจการต่อไปได้ หรือโรงงานเหล็กต่างๆ ในประเทศที่จะอยู่รอดต่อไปได้ อาจกลายเป็นของต่างชาติหมด หากประเทศไทยต้องพึ่งพิงการนำเข้าสินค้าเหล็กเกือบทั้งหมด การพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศไทยก็ย่อมขาดความมั่นคงแบบยั่งยืน
เชื่อว่าหากรัฐบาลประกาศกฎกระทรวงฉบับนี้ออกมาผู้ประกอบการในประเทศหลากหลายธุรกิจจะสามารถประคองตัวให้ผ่านวิกฤติเศรษฐกิจครั้งนี้ไปได้ระดับหนึ่ง เพราะจากการประเมินของหลายสำนักวิชาการ คาดว่าเศรษฐกิจไทยจะใช้เวลามากว่า 2 ปี จึงจะสามารถกลับมาฟื้นตัวได้เหมือนเดิม ก่อนที่จะเกิดการระบาดของโควิด-19 และถ้ารัฐไม่ทำอะไรในตอนนี้ ก็อาจจะไม่มีผู้ประกอบการไทยเหลือรอดไปถึงในอีก 2 ปีข้างหน้าก็เป็นไปได้ โดยเฉพาะอุตสาหกรรมเหล็ก ซึ่งถือว่าเป็น อุตสาหกรรมพื้นฐานสนับสนุนการพัฒนาประเทศ
กระบองเพชร
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี