nn เมื่อสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ยังเอาไม่อยู่ เกิดการแพร่ระลอกที่ 3 กันตั้งแต่ปลายเดือนมีนาคมที่ผ่านมา และต้องยอมรับว่าเป็นระลอกที่หลายๆ ฝ่ายคงไม่ได้คาดการณ์เตรียมพร้อมรับมือไว้ เพราะก่อนหน้านี้ก็เตรียมจะเปิดประเทศกันแล้วเพราะหวังว่าจะสามารถฉีดวัคซีนได้เพียงพอ
แต่แล้ว...ฝันก็มาสลายลงในพริบตา...เมื่อเกิดการระบาดจากคลัสเตอร์สถานบันเทิงที่ทองหล่อ ลามไปทั่วทั้ง 77 จังหวัด จนฝ่ายต่างๆ พากันหั่นการคาดการณ์การขยายตัวของเศรษฐกิจไทยในปี 2564 ลงกันถ้วนหน้า ล่าสุดคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ปรับการคาดการณ์ลงจากเดิมคิดว่าจะขยายตัวถึง 1.5%-3.5% มาเหลือเพียง 1.5%-3% และยังคาดว่าหากไม่มีเม็ดงานอัดฉีดจากภาครัฐอีก 2 แสนล้านบาท เศรษฐกิจอาจไม่ขยายตัวเลยก็เป็นได้ สวนกระแสเศรษฐกิจโลกที่กำลังทยอยปรับตัวในทิศทางดีขึ้น
แน่นอนว่าสถานการณ์เช่นนี้ย่อมส่งผลต่อการจัดเก็บรายได้ภาษีสรรพสามิตที่ใน 6 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2564 จัดเก็บได้ต่ำกว่าประมาณการไปแล้ว 2.5 หมื่นล้านบาท อย่างแน่นอน ด้วยกำลังซื้อของประชาชนที่กำลังได้รับแรงกดดันอย่างหนัก ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคล่าสุดในเดือนมีนาคมที่ผ่านมาลดลงไปต่ำกว่าเมื่อเดือนตุลาคมปี 2563 เสียอีก แต่ขณะเดียวกันรัฐก็ต้องการรายได้ภาษีเช่นเดียวกันไม่เช่นนั้นก็ต้องกู้เพิ่ม ดังนั้น สถานการณ์ตอนนี้กระทรวงการคลังต้องหาจุดสมดุลที่จะทำให้เกิดประสิทธิภาพตามหลักพาเรโต (Pareto Efficiency) คือ ช่วยสร้างประโยชน์เพิ่มขึ้นโดยที่ไม่ทำให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งต้องเดือดร้อนซึ่งเป็นหัวใจสำคัญแห่งศาสตร์และศิลป์ของการกำหนดนโยบายรัฐ
การที่นายลวรณ แสงสนิท อธิบดีกรมสรรพสามิต ได้ออกมาประกาศว่าจะไม่ขึ้นภาษีสรรพสามิตเครื่องดื่มตามความหวานในปีนี้ตามกำหนดเดิม และจะไม่มีการเก็บภาษีสรรพสามิตใหม่ๆ ในปีนี้ รวมทั้งขยายเวลาการลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับเครื่องบินไอพ่นออกไปจนถึงสิ้นปี 2564 ถือเป็นการไม่เพิ่มภาระให้ผู้บริโภคและผู้ประกอบการในช่วงเวลาที่ยากลำบาก แต่ก็อาจจะไม่ได้ช่วยเพิ่มรายได้ภาษีเข้ารัฐ
ขณะเดียวกันสินค้าเหล้า-เบียร์ก็ยัง “สาหัส” ทั้งที่ไม่มีการขึ้นภาษีมา 4 ปีแล้ว เพราะจัดกิจกรรมที่มีคนจำนวนมากรวมตัวกันยังไม่ได้ แล้วก็มาเจอปิดสถานบริการและห้ามดื่มแอลกอฮอล์ในร้านในช่วงนี้ ซ้ำร้ายยังเจอกับการห้ามขายออนไลน์อีกด้วย ทำให้รายได้ภาษีสรรพสามิตจากเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในช่วง 6 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2564 ต่ำกว่าปีก่อนอยู่ถึง 7 พันล้านบาท
ด้านสินค้า “ยาสูบ” ที่มีกำหนดจะขึ้นภาษีสรรพสามิตบุหรี่ในวันที่ 1 ตุลาคม 2564 กรมสรรพสามิตได้เปิดเผยก่อนหน้านี้ว่ากำลังเตรียมปรับโครงสร้างอัตราภาษีบุหรี่เสียใหม่เพื่อให้มีผล 1 ตุลาคม 2564 นี้เลย โดยได้วางแนวทางไว้ว่าจะต้องพิจารณาปัจจัยเรื่องผลกระทบต่อภาคอุตสาหกรรม ผลต่อรายได้รัฐ ผลต่อปัญหาบุหรี่เถื่อน และผลต่อนโยบายสาธารณสุข แต่ปัจจุบันยังหาข้อสรุปไม่ได้ ทั้งนี้ ในปีงบประมาณ 2563 ที่ผ่านมา สินค้ายาสูบเป็นสินค้าที่สร้างรายได้ภาษีสรรพสามิตในปีงบประมาณ 2563 ลดลงถึง 4,500 ล้านบาท ซึ่งถือว่าลดลงมากที่สุดรองจากรถยนต์ และในช่วง 6 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2564 ก็ยังคงไม่ฟื้นตัว
วันนี้สภาพเศรษฐกิจและการคลังของประเทศกลับมาอยู่ภายใต้แรงกดดันสูงอีกครั้ง การกำหนดนโยบายภาษีที่มีผลโดยตรงต่อการบริโภคภาคประชาชนจึงต้องทำอย่างระมัดระวังที่สุด หากเพิ่มภาระภาษีอย่างก้าวกระโดดในสถานการณ์ปีนี้ ย่อมจะไม่เป็นผลดีต่อทั้งภาคอุตสาหกรรมและรายได้ภาษีของรัฐเองที่จะหายไปจากสินค้าทดแทนที่อาจไม่มีการเสียภาษีเลยหรือเสียภาษีน้อยมาก มาแทนที่มากขึ้นและเร็ววันขึ้นอย่างเช่นที่ปรากฏตามจังหวัดชายแดนภาคใต้ที่เป็นแหล่งจำหน่ายไวน์ สุรา และบุหรี่เถื่อนมาอย่างยาวนาน ซึ่งก็จะไม่เป็นผลดีต่อรายได้รัฐและนโยบายสาธารณสุขแต่อย่างใด เรียกได้ว่าไม่มีใคร “ชนะ”
แน่นอนว่าการตัดสินใจเรื่องนโยบายภาษีสรรพสามิตไม่ใช่เรื่องง่ายเพราะมีทั้งมิติรายได้สุขภาพ และสินค้าหนีภาษีที่ต้องคำนึงถึง แต่เชื่อว่านายลวรณ และนายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังจะใช้ความรู้ความเข้าใจในหลักวิชาการและข้อมูลเชิงประจักษ์มากำหนดนโยบายได้อย่างเหมาะสม เพื่อให้ทุกฝ่ายไม่เดือดร้อน ให้เรียกได้ว่า “เราชนะ” กันอย่างแท้จริง
กระบองเพชร
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี