nn ผลจากการระบาดของโควิด-19 มาตั้งแต่ปลายปี 2562 จนถึงปัจจุบัน...นอกจากภาคการท่องเที่ยวและภาคบริการแล้ว กลุ่มธุรกิจค้าปลีกก็ได้รับผลกระทบอย่างหนักเช่นกัน พูดได้ว่าตลอดปี 2563ผู้ประกอบการธุรกิจค้าปลีกรายได้ลดลงอย่างหนักถ้วนหน้า ยอดขายหดตัวฉุดรายได้ลดลงมากกว่า 20%แม้แต่ผู้ประกอบการรายใหญ่ที่มีศักยภาพในหลายๆด้าน ก็ยังไม่สามารถหลีกเลี่ยงจากผลกระทบครั้งนี้ได้ ผู้ประกอบการธุรกิจค้าปลีกรายใหญ่ ในกลุ่มธุรกิจที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เช่น กลุ่มเซ็นทรัล เซเว่น อีเลฟเว่น บิ๊กซี มีรายได้ช่วง 9 เดือนแรก (มกราคม-กันยายน) ของปี 2563หดตัวกว่าช่วงเวลาเดียวกันของปี’62 เช่น กลุ่มเซ็นทรัล รายได้รวมลดลง 10.36% โดยเป็นการลดลงในรายได้ทุกกลุ่มธุรกิจ โดยเฉพาะกลุ่มแฟชั่นและอาหาร รวมถึงรายได้จากส่วนของค่าเช่าที่ลดลงด้วย เซเว่น อีเลฟเว่น รายได้รวมลดลง 7.52% สาเหตุหลักมาจากการปรับตัวลดลงของรายได้จากการขายและบริการ ทำให้ต้องมีการปรับแผนธุรกิจสู่ช่องทางออนไลน์และเดลิเวอรี่เพิ่มขึ้น และ บิ๊กซี รายได้รวมลดลง 9.86% สาเหตุหลักมาจากอัตราการเติบโตของยอดขายต่อสาขาลดลง เช่นเดียวกับรายได้ค่าเช่าปรับตัวลดลงจากการที่ยังให้ส่วนลดค่าเช่า และอัตราการเช่าพื้นที่ยังคงไม่กลับมา 100%
สำหรับปี 2564 นี้แต่เดิมคาดกันว่าสถานการณ์ให้หลายธุรกิจรวมทั้งกลุ่มค้าปลีกจะกลับมาดีขึ้น แต่ทว่ากลับเกิดระบาดระลอก 3 ในประเทศและสถานการณ์ทั่วโลกยังคงไม่คลี่คลายมากนัก ทำให้ธุรกิจค้าปลีกยังคงต้องเผชิญกับผลกระทบด้านลบต่อไป และยังต้องเผชิญกับหลายปัจจัยเสี่ยง โดย “ศูนย์วิจัยธนาคารออมสิน” ได้ระบุว่าปัจจัยเสี่ยงสำหรับธุรกิจค้าปลีก ในปี 2564 ได้แก่ 1.การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ระลอกใหม่ในประเทศ หากลากยาวออกไปหรือรุนแรงขึ้น จะส่งผลกระทบอย่างหนักต่อผู้ประกอบการค้าปลีก โดยเฉพาะผู้ประกอบการที่มีเงินทุนหมุนเวียนน้อยหรือมีภาระค่าใช้จ่ายที่ค่อนข้างสูง 2.กำลังซื้อของผู้บริโภค โดยเฉพาะผู้บริโภครายได้ระดับปานกลางถึงล่าง ยังคงถูกกดดันจากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว
3.การแข่งขันค่อนข้างมาก ทั้งการแข่งขันจากธุรกิจค้าปลีกประเภทเดียวกันและธุรกิจค้าปลีกข้ามประเภท เช่น ธุรกิจไฮเปอร์มาร์เก็ตขยายการลงทุนข้ามเซ็กเมนท์เป็นธุรกิจร้านสะดวกซื้อ
4.ผู้ประกอบการค้าปลีกโมเดิร์นเทรดที่รุกการทำการตลาดผ่านช่องทางออนไลน์ ต้องเผชิญกับการแข่งขันจากกลุ่มค้าปลีกออนไลน์รายย่อย หรือเอสเอ็มอี ที่ขายผ่านช่องทางโซเชียลมีเดียต่างๆ อีกทั้งยังต้องเผชิญความท้าทายการแข่งขันของผู้ประกอบการต่างชาติ เช่น จีน เกาหลีใต้ ที่จะเข้ามาทำตลาดออนไลน์แบบอี-มาร์เก็ตเพลซ ในไทยมากขึ้น
ล่าสุด “วิจัยกรุงศรี” ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) ระบุว่าการระบาดระลอกที่สามของ COVID-19 ฉุดการใช้จ่ายในประเทศเดือนเมษายนให้อ่อนแอลง แต่การผลิตภาคอุตสาหกรรมทรงตัวโดยมีแรงหนุนจากภาคส่งออก โดยดัชนีการบริโภคภาคเอกชนเดือนเมษายนกลับมาหดตัวจากเดือนก่อน (-4.3% MoM sa) ตามการลดลงในทุกหมวดการใช้จ่าย เนื่องจากการระบาดรอบใหม่ของ COVID-19 และมาตรการควบคุมการระบาดที่เข้มงวดขึ้น กระทบต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจและความเชื่อมั่นลดลง แม้มาตรการภาครัฐจะช่วยพยุงกำลังซื้อภาคครัวเรือนได้บ้าง ส่วนดัชนีการลงทุนภาคเอกชนหดตัวลงจากเดือนก่อนเช่นกัน (-3.1%) ตามการลดลงในหมวดเครื่องจักรและอุปกรณ์สอดคล้องกับความเชื่อมั่นทางธุรกิจที่ปรับลดลงในทุกหมวด ขณะที่ภาคท่องเที่ยวยังไม่ฟื้นตัว จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติยังอยู่ในระดับต่ำมาก จากมาตรการจำกัดการเดินทางระหว่างประเทศที่ยังมีอยู่ และการท่องเที่ยวในประเทศยังถูกกดดันจากสถานการณ์การระบาดรอบใหม่
ในช่วงไตรมาส 2 ของปีนี้ (เมษยน-มิถุนายน) กิจกรรมเศรษฐกิจในประเทศได้รับผลกระทบอย่างมากจากการระบาดระลอกสามของ COVID-19 ที่กระจายเป็นวงกว้างไปทั่วประเทศและมีจำนวนผู้ติดเชื้อสะสมเกินแสนคน ส่งผลให้การใช้จ่ายในประเทศมีแนวโน้มอ่อนแอลง อย่างไรก็ดี ผลกระทบต่อภาพรวมเศรษฐกิจอาจไม่รุนแรงเท่ากับการระบาดรอบแรก เนื่องจากภาคส่งออกในปีนี้ยังมีทิศทางขยายตัวดีตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและการค้าโลก โดยล่าสุดสัญญาณภาคการผลิตของโลกเดือนพฤษภาคมปรับดีขึ้นต่อเนื่องสู่ระดับสูงสุดในรอบ 11 ปีขณะที่ข้อมูลสินค้าส่งออกสูงสุด 20 อันดับแรกของไทย (คิดเป็นสัดส่วน 64.5% ของมูลค่าส่งออกรวม) มีสินค้า 14 รายการ (สัดส่วน 42.3%) ที่มีมูลค่าส่งออกในเดือนล่าสุดอยู่สูงกว่าค่าเฉลี่ยในช่วงก่อนเกิดการระบาด (ไตรมาส 4/2562) อาทิ ผลิตภัณฑ์ยาง ยางพารา ผลิตภัณฑ์เคมี เม็ดพลาสติก เช่นเดียวกับการผลิตภาคอุตสาหกรรมในสาขาที่เกี่ยวข้องกับภาคส่งออกมีการปรับดีขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงก่อนเกิดการระบาด อาทิ ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ และเครื่องใช้ไฟฟ้า ทั้งนี้ การส่งออกและการผลิตอุตสาหกรรมที่ปรับดีขึ้นกระจายในหลายสาขานับเป็นปัจจัยบวกที่จะช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจในปีนี้
มาตรการลดค่าครองชีพช่วยชะลอการเพิ่มขึ้นของอัตราเงินเฟ้อทั่วไปเดือนพฤษภาคม คาดครึ่งปีหลังมีแนวโน้มทยอยชะลอตัวลง อัตราเงินเฟ้อทั่วไปเดือนพฤษภาคมอยู่ที่ 2.44% YoY ชะลอลงจาก 3.41% ในเดือนเมษายน ผลจากมาตรการภาครัฐในการปรับลดค่าน้ำประปาค่าไฟฟ้า เพื่อลดภาระค่าครองชีพให้กับประชาชนเป็นครั้งที่ 2 ในรอบปี รวมทั้งการลดลงของราคาในกลุ่มอาหารสด เนื่องจากการแพร่ระบาดเป็นวงกว้างของ COVID-19 ระลอกใหม่ ส่งผลให้มีการปิดตลาดและสถานประกอบการหลายแห่ง ทำให้กำลังซื้อและปริมาณการบริโภคชะลอตัว ด้านอัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน (หักราคาหมวดอาหารสดและพลังงาน) เดือนพฤษภาคมสะท้อนอุปสงค์ในประเทศที่อ่อนแอลงโดยลดลงอยู่ที่ -0.11% MoM จากเดือนเมษายนที่ +0.14%
ต้องยอมรับว่าการระบาดของโควิด-19 ระลอก 3 ในประเทศไทย ยังอยู่ในช่วงขาขึ้น หากรัฐบาลยังคงอัตราการฉีดวัคซีนได้ในระดับนี้โอกาสที่สร้างภูมิคุ้มกันหมู่ในประเทศให้ได้ภายในสิ้นปีนี้ ก็คงจะเป็นไปไม่ได้เลย นั่นก็แปลว่ากิจกรรมทางเศรษฐกิจต่างๆ จะยังคงต้องอยู่ภายใต้มาตรการควบคุมต่อไป ซึ่งก็ต้องกระทบต่อโอกาสในการหารายได้ของคนไทยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เมื่อรายได้ลดลงกำลังการบริโภคในประเทศก็ยังคงซบเซา และกลุ่มธุรกิจค้าปลีกก็ยังคงต้องเผชิญกับภาวะรายได้ลดลงต่อไปอีกหนึ่งปี
กระบองเพชร
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี