การจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม กรณีการให้บริการทางอิเล็กทรอนิกส์ (e-Service) เป็น การเรียกเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) จากแพลตฟอร์มดิจิทัลต่างประเทศ เป็นมาตรการจัดเก็บภาษีใหม่ที่ประกาศลงราชกิจจานุเบกษาเมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2564 โดยพ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ 53) พ.ศ. 2564 เริ่มมีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2564
ที่ผ่านมา ผู้ประกอบการในประเทศไทยให้บริการทางอิเล็กทรอนิกส์ (e-Service) ที่เป็นผู้ประกอบการภาษีมูลค่าเพิ่ม มีหน้าที่ต้องยื่นแบบและชำระภาษีมูลค่าเพิ่มมาตลอด ในขณะที่ผู้ประกอบการต่างประเทศ หรืออิเล็กทรอนิกส์แพลตฟอร์มต่างประเทศที่ให้บริการอิเล็กทรอนิกส์ (e-Service)ไม่ต้องดำเนินการเหมือนผู้ประกอบการไทย เนื่องจากกฎหมายไทยไม่ได้กำหนด ทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำไม่เป็นธรรมในการเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม เกิดความได้เปรียบเสียเปรียบในการดำเนินธุรกิจระหว่างผู้ประกอบการไทยกับผู้ประกอบการต่างประเทศ
ทั้งการจัดเก็บภาษีเงินได้นิติบุคคลไม่สามารถจัดเก็บได้เพราะผู้ประกอบการไม่ได้มีการประกอบการที่จดทะเบียนในประเทศไทย หรือมีสำนักงาน/สาขา หรือตัวแทนในประเทศไทย
ไม่ใช่แต่ประเทศไทยที่ต้องประสบกับปัญหานี้ หลายประเทศทั่วโลกที่มีแพลตฟอร์ม ซึ่งทําหน้าที่เป็นตัวกลางเชื่อมโยงระหว่างผู้ให้บริการและผู้รับบริการให้สามารถเข้าถึงบริการอิเล็กทรอนิกส์ ไม่ว่าจะเป็น เพลง ภาพยนตร์ เกม จากผู้ประกอบการที่อยู่ในต่างประเทศต่างประสบปัญหานี้เช่นกัน
กว่า 60 ประเทศไม่ว่าจะเป็นมาเลเซีย อินโดนีเซียเกาหลีใต้ จีน ไต้หวัน ญี่ปุ่น ออสเตรเลีย รวมทั้งไทย จึงได้ดำเนินการตามองค์การเพื่อความร่วมมือและการพัฒนาทางเศรษฐกิจ (OECD -Organization for Economic Co-operation and Development) ที่กําหนดให้ผู้ประกอบการอิเล็กทรอนิกส์แพลตฟอร์มต่างประเทศต้องจดทะเบียน และนําส่งภาษีมูลค่าเพิ่มให้แก่หน่วยงานจัดเก็บภาษีของประเทศที่ตนไปประกอบธุรกิจ โดยได้ออกหรือแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายภาษีมูลค่าเพิ่ม
การบังคับใช้กฎหมายการจัดเก็บภาษีบริการทางอิเล็กทรอนิกส์ (e-Service) ของประเทศไทย จะจัดเก็บในอัตราร้อยละ 7 ต่อปี จากแพลตฟอร์มต่างประเทศที่ให้บริการทางออนไลน์แก่ผู้ใช้บริการในประเทศไทย โดยผู้ให้บริการอิเล็กทรอนิกส์ มีหน้าที่จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มภายใน 30 วัน นับแต่วันที่มีรายได้เกินกว่า 1.8 ล้านบาทในรอบระยะเวลาบัญชี กรณีของนิติบุคคล และหนึ่งปีปฏิทินกรณีของบุคคลธรรมดา
สำหรับปีพ.ศ.2564 ซึ่งเป็นปีแรกของการบังคับใช้กฎหมาย จะพิจารณาจากรายรับของรอบบัญชีที่ไม่สิ้นสุดก่อนวันที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2564 ส่วนบุคคลธรรมดา จะนับตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2564 เว้นแต่จะมีการเริ่มประกอบกิจการหลังจากนั้น
ธุรกิจที่ต้องมาจดทะเบียนและเข้าข่ายที่ต้องเสียภาษีe-Service หรือ VES (VAT for e-service) แบ่งออกเป็น5 กลุ่มหลัก คือ (1) ธุรกิจให้บริการแพลตฟอร์มสำหรับขายของออนไลน์ เช่น Lazada, Shopee (2) ธุรกิจให้บริการโฆษณาออนไลน์ เช่น Google, Facebook (3) ธุรกิจให้บริการจองโรงแรมที่พักและการเดินทาง เช่น Booking.com, Traveloka, Agoda (4) ธุรกิจให้บริการเป็นตัวกลางระหว่างผู้ซื้อผู้ขาย เช่น Grab Food, Grab Car (5) ธุรกิจให้บริการสมาชิกดูหนังฟังเพลงออนไลน์ เกมส์ และแอปพลิเคชั่นต่างๆ เช่น Netflix, Spotify, Youtube
ผู้ให้บริการทางอิเล็กทรอนิกส์จากต่างประเทศ มีหน้าที่จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม VES (VAT for e-Service) บนเว็บไซต์ของกรมสรรพากร และต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มจากการให้บริการ e-Service และชำระภาษีมูลค่าเพิ่ม ด้วยแบบแสดงรายการภ.พ.30.9 ด้วยสกุลเงินบาท เข้าบัญชีเงินฝากของกรมสรรพากร หรือผ่านบัตรเครดิต โดยดำเนินการผ่านระบบ SVE (Simplified VAT System for e-Service) ภายในวันที่ 23 ของเดือนถัดไป ผู้ให้บริการทางอิเล็กทรอนิกส์จากต่างประเทศ ไม่มีสิทธิออกใบกำกับภาษีและไม่มีสิทธินำภาษีซื้อมาหักออกจากภาษีขาย ไม่ต้องรายงานภาษีซื้อ การดำเนินการทางทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มต้องกระทำโดยกระบวนการทางอิเล็กทรอนิกส์เท่านั้น
สำหรับผู้ให้บริการในไทยที่จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มอยู่แล้ว ให้ดำเนินการโดยยื่นแบบและชำระภาษีมูลค่าเพิ่มตามแบบภ.พ.36 และสามารถนำภาษีมูลค่าเพิ่มตามใบเสร็จรับเงินของกรมสรรพากรมาหักเป็นภาษีซื้อได้เช่นเดิม
เมื่อมีการเก็บภาษี e-Service ย่อมทำให้ต้นทุนการให้บริการ สูงขึ้นตามมา จากเดิมที่เคยได้กำไร แต่กลับต้องจัดสรรส่วนหนึ่งเพื่อชำระภาษี ทำให้หลายคนอาจกังวลเกี่ยวกับเรื่องการผลักภาระภาษีมูลค่าเพิ่มให้กับผู้บริโภคโดยการบวกราคาเพิ่ม ประเด็นนี้ คงต้องขึ้นอยู่กับนโยบายของผู้ให้บริการว่าจะเป็นอย่างไร บางบริการที่มีการแข่งขันสูงเช่น กรณีของดูภาพยนตร์ ฟังเพลง เล่นเกม หากผู้ให้บริการเลือกนโยบายที่จะผลักภาระ ผู้ใช้บริการอาจเลือกใช้ผู้ให้บริการอื่นที่ราคาถูกกว่า
กรณีของพ่อค้าแม่ค้าออนไลน์ จะไม่ได้รับผลกระทบเพราะกฎหมายภาษี e-Service ตามกฎหมายใหม่นี้ จะเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มเฉพาะผู้ประกอบการอิเล็กทรอนิกส์แพลตฟอร์มต่างประเทศ
จากข้อมูลของกรมสรรพากรเมื่อสิ้นเดือนสิงหาคม พ.ศ.2564 มีผู้ให้บริการทางอิเล็กทรอนิกส์จากต่างประเทศเข้ามาจดทะเบียน e-Service จำนวนมากกว่า 50 ราย
การเข้ามาจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มในประเทศไทยของผู้ให้บริการทางอิเล็กทรอนิกส์จากต่างประเทศ ถือเป็นก้าวแรกที่สำคัญของกรมสรรพากรในการเก็บภาษี Digital Economy จะทำให้กรมสรรพากรไทยสามารถใช้กลไกเพื่อตรวจสอบภาษีต่อไปได้ในอนาคตไม่ว่าจะเป็นการออกหมายเรียกอิเล็กทรอนิกส์ หรืออื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการจัดเก็บภาษีในประเทศต่อไป
หากการจัดเก็บภาษี e-Service ซึ่งจะเป็นช่องทางในการเพิ่มรายได้ทางหนึ่งให้กับประเทศ สามารถจัดเก็บและสร้างรายได้ที่เพิ่มขึ้นให้กับประเทศไทยไม่ต่ำกว่า 5,000 ล้านบาท ในปีงบประมาณพ.ศ.2565 ตามที่กรมสรรพากรคาดไว้ ย่อมเป็นประโยชน์ต่อประเทศไทย
ในอนาคตจะทำให้ประเทศไทยมีฐานข้อมูลรายได้ของผู้ให้บริการแพลตฟอร์มต่างประเทศ ที่จะสามารถนำภาษี e-Service ไปใช้ในการคำนวณเป็นฐานภาษีใหม่ที่น่าจะเป็นรายได้อีกทางหนึ่งเพื่อนำไปพัฒนาประเทศได้
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี