นอกจากนี้ การทำโฟกัสกรุ๊ปที่ถูกต้อง ไม่ควรมีการนำโมเดลผลการศึกษา นำมาเสนอกว่าชั่วโมงครึ่ง และเป็นการชี้นำ โดยการศึกษาของ กสทช. ที่มีช่องโหว่มากมาย ทำให้นักวิชาการต่างออกความเห็นเป็นเสียงเดียวกันว่าโมเดลที่นำมาเสนอมีหลายปัจจัยที่ กสทช. เลือกที่จะไม่นำมารวม และทำให้ชี้นำสังคมในทางสับสนได้ ซึ่งการทำโฟกัสกรุ๊ปควรรับฟังความเห็นจากนักวิชาการที่มาร่วมประชุม และ บันทึกไปเพื่อความเป็นกลาง ตรงกับหลักการทางวิชาการ เพื่อนำผลการโฟกัสกรุ๊ปไปใช้วิเคราะห์ได้ต่อไป
ทั้งนี้ ภายหลังการสรุปผลการศึกษา นักวิชาการจากสถาบันต่างๆ ที่เข้ารับฟัง ได้ร่วมแสดงความคิดเห็นในแง่มุมที่หลากหลาย ซึ่งส่วนใหญ่เห็นต่างจากผลการศึกษาของ กสทช. โดยมองว่า การนำเสนอของ กสทช. ยังไม่สมบูรณ์ เพราะยังขาดข้อมูลอีกหลายมิติ ที่แสดงให้เห็นว่า การควบรวมกิจการไม่ได้เป็นผลเสียเพียงด้านเดียว รวมถึงราคาไม่ใช่ปัจจัยหลัก เพราะ กสทช. มีหน้าที่ควบคุมดูแลอยู่แล้ว แต่การควบรวมจะทำให้เกิดการปรับตัวของธุรกิจและเทคโนโลยีใหม่ที่จะเกิดขึ้น
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.พรภวิษย์ บุญศรีเมือง รองคณบดีวิจัย คณะเทคโนโลยีอุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา เห็นด้วยกับการควบรวม และให้ข้อเสนอแนะกับโมเดลของ กสทช. ว่าควรนำข้อมูลของ NT มาทำวิจัยด้วย เพราะ NT มีใบอนุญาตจำนวนไม่น้อย หากโมเดลแรกสมมุติฐานไม่ครอบคลุม ปัจจัยอื่นๆ ก็จะคลาดเคลื่อนไป
ด้าน ดร.รุจิระ บุนนาค อาจารย์พิเศษ ABAC และมหาจุฬาลงกรณ์ราชวิทยาลัย มองว่าการควบรวมมีประโยชน์ โดยต้องมองหลายๆ ส่วนประกอบ และไม่มองข้ามตัวแปรสำคัญคือ Digital Disruption ที่มีผลกระทบต่อความเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี ซึ่ง กสทช. เองเคยคาดการณ์ผิดในเรื่องของทีวีดิจิทัล ที่ไม่ได้มองในเรื่องของ OTT จึงทำให้เกิดผลกระทบต่อธุรกิจทีวีดิจิทัล
สำหรับธุรกิจโทรคมนาคม OTT ก็เป็นเรื่องที่สำคัญเพราะเป็นบริการทั้งข้อความ เสียง และวีดีโอ จากการวิจัยของ McKinsey พบว่า 5G ทำให้ธุรกิจโทรคมนาคมมีการลงทุนเพิ่มขึ้นกว่า 300% ในขณะที่รายได้ของผู้ให้บริการโทรศัพท์มือถือลดลง ดังนั้นจึงควรเพิ่มตัวแปรในเรื่องของ DigitalDisruption นำมาคำนวณด้วย และควรกำหนดข้อมูลของคำว่า“ตลาด” ให้เหมาะสม นอกจากนี้ การอ้างอิงข้อมูลจากปี 2015นั้นเป็นข้อมูลเก่า กสทช.. ควรเป็นธุระนำข้อมูลที่อัปเดตกับสถานการณ์ให้นักวิชาการช่วยพิจารณาก่อนนำเสนอ
ขณะที่ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ศราวุธ เกียรติกุศล อาจารย์เกษียณ และอาจารย์พิเศษ ม.กรุงเทพ ต้องการให้พิจารณาสถานะความสามารถในการแข่งขันของบริษัทด้วย เพราะผลประกอบการของ 3 เจ้าใหญ่จะเห็นได้ว่ามีความแตกต่างกันค่อนข้างมาก ถ้าใช้สูตรที่ กสทช.นำเสนอนี้ ทำให้เข้าใจว่าตั้งอยู่บนสมมุติฐานว่าสถานะของบริษัทแข็งแกร่งใกล้ๆ กัน แล้วสุดท้ายก็จะเหลือ 2 เจ้าที่มีสถานการณ์แข่งขันที่ต่างกันมาก
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.พัชรินทร์ คำสิงห์ จากมหาวิทยาลัยการบิน สถาบันพระจอมเกล้าฯ ลาดกระบัง เสนอว่าควรเพิ่มปัจจัยด้านความต้องการใช้งานของผู้บริโภคเข้าไปด้วย เพราะปัจจุบันเทคโนโลยีเข้าไปเกี่ยวข้องกับการพัฒนาด้านต่างๆ ในระบบเศรษฐกิจของประเทศมากขึ้น ดังนั้น คุณภาพของเครือข่ายก็เป็นเรื่องที่สำคัญที่ต้องพิจารณา ไม่ใช่แค่เรื่องของราคาอย่างเดียว
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ยุทธภูมิ สุวรรณเวช รองคณบดีฝ่ายวิชาการและวิจัย คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลพระนคร เห็นด้วยกับการควบรวมโดยแนะว่าควรมองตัวแปรด้านจิตวิทยาของผู้ประกอบการและของผู้บริโภคประกอบด้วย หากมองแต่ตัวเลข จะทำให้ไม่ครอบคลุมตัวแปรที่จำเป็นซึ่งภาพรวมของการควบรวมจะส่งผลให้เกิดการแข่งขันในเชิงธุรกิจ ที่ทำให้เกิดประโยชน์ต่อผู้บริโภคหรือตัวประชาชนที่จะได้รับประโยชน์สูงสุด และเป็นการสร้างความเข้มแข็งในเชิงธุรกิจ ที่ทำให้เกิดการพัฒนาเทคโนโลยีแบบก้าวกระโดด ทันสมัย และทัดเทียมกับอารยประเทศชั้นนำทั่วโลก
“กสทช.. อาจจะต้องคำนวณในค่าตั้งต้นของการประมูลเครือข่ายอย่าให้สูงมากนัก เพื่อที่จะทำให้คู่แข่งขันทางธุรกิจไม่ว่าจะ 2 เจ้า 3 เจ้า หรือ 4 เจ้าในอนาคตก็ตาม จะมีต้นทุนที่ไม่สูงมาก เมื่อต้นทุนไม่สูงก็จะส่งผลให้ดูแลผู้บริโภคในเรื่องของราคาได้ กสทช.มีมาตรการควบคุมราคาที่มองผู้บริโภคหรือประชาชนเป็นสำคัญ หวังว่า กสทช. จะไม่มองข้ามในส่วนนี้” ผู้ช่วยศาสตราจารย์ยุทธภูมิ กล่าว
รศ.พ.ต.ต.ดร.ดนุวศิน เจริญ รองคณบดีฝ่ายวิชาการคณะบริหารธุรกิจ NIDA เห็นด้วยกับการควบรวมเพราะมีข้อดีมากกว่าข้อเสียแต่อยากให้คณะกรรมการพิจารณาจากข้อมูลที่เกิดขึ้นจริงว่า ค่า HHI ที่สูงขึ้น จะแปลว่า ราคาสูงขึ้นเสมอไปหรือไม่ ซึ่ง OCCD ศึกษาพบว่า มีงานวิจัย18 ชิ้น นับตั้งแต่ปี 2015 การควบรวมไม่ได้หมายถึงการขึ้นราคาที่สูงขึ้นเสมอไป รวมไปถึงสิ่งที่เรียกว่า Spillover Effect คือมีการเกิดขึ้นของธุรกิจหรือนวัตกรรมใหม่ๆ ด้วยส่วนความกังวลเรื่องราคานั้น ควรเป็นหน้าที่ของผู้กำกับดูแล
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ประพันธ์พงษ์ ขำอ่อน คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ให้ความเห็นว่า ธุรกิจโทรคมนาคมในปัจจุบันมีรายได้จาก Voice ที่ลดลง ขณะที่การแข่งขัน OTT มีมากขึ้น ทำให้รายได้ลดลง จึงนำไปสู่การควบรวม สำหรับในเรื่องราคาค่าบริการและคุณภาพในการให้บริการนั้น กสทช.. มีกฎเข้มข้นในการควบคุมอยู่แล้ว และขยายความถึงการควบรวมในต่างประเทศว่า ผู้กำกับดูแลมักจะอนุญาตให้ควบรวม แต่จะออกมาตรการเฉพาะในการกำกับดูแล เช่น T Mobile + Sprint ให้ขายธุรกิจเติมเงินออกไปหรือ Hutch + Orange ก็ให้แชร์เน็ตเวิร์ก ให้ MVNO สามารถเข้ามาใช้ได้ เพราะการประมูลคลื่นมีราคาสูง
ดร.เสรี วงษ์มณฑา นักวิชาการอิสระด้านสื่อสารมวลชนและการตลาดการพิจารณานี้ต้องมองตัวแปรให้ครบ โอกาสความสัมพันธ์ของคู่แข่งที่จะเข้ามาฮั้วค่อนข้างจะยากเพราะดูจากโปรโมชั่นที่เกิดขึ้นมันดีขึ้นเรื่อยๆ ผู้บริโภคได้ประโยชน์ขึ้นเรื่อยๆ และการร่วมมือกันครั้งนี้ก็จะเกิด Global Competition ส่วนเรื่องราคา กสทช. ทำหน้าที่นี้ดีอยู่แล้ว
นอกจากที่กล่าวมาแล้วยังมีความเห็นอีกหลากหลายที่ส่วนใหญ่มองว่าการควบรวมน่าจะเป็นผลดีต่อธุรกิจและผู้บริโภคมากกว่าในแง่ของคุณภาพการบริการที่ดีขึ้น และเทคโนโลยีต่างๆ ที่จะเข้ามา รวมถึงยังเชื่อมั่นในการกำกับดูแลของ กสทช. โดยเฉพาะในเรื่องของการควบคุมราคาและบริการ
กระบองเพชร
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี