หลายปีก่อน ลูกน้องคนหนึ่งมาขอให้ผมช่วยออกเอกสารรับรองเงินเดือนให้ ...
ตอนนั้นเธอทำงานกับผม มีรายได้เดือนละหมื่นกว่าบาท แต่ขอร้องให้ผมช่วยทำตัวเลขในเอกสารรับรองเงินเดือน ว่าเธอทำงานกับผม และมีรายได้ต่อเดือนรวม 40,000 บาท
เมื่อถามว่าจะเอาไปทำอะไร ก็ได้ความว่าเธอจะกู้ซื้อบ้านราคา 4 ล้านบาท วันนั้นผมปฏิเสธเธอไปด้วยเหตุผล 2 ข้อ
1.ถ้าผมออกเอกสารให้ ผมและบริษัทก็จะมีความผิดในฐานะทำเอกสารรับรองการเงินปลอม และ
2.ต่อให้ผมออกเอกสารให้ ลูกน้องผมคนนี้ก็คงจะมีภาระการเงินหนักน่าดู เพราะบ้านราคา 4 ล้าน ถ้ากู้จริง ก็ต้องผ่อนตกเดือนละประมาณ 22,000-24,000 บาท
เมื่อถามว่า ... ทำไมต้องซื้อบ้านใหญ่ขนาดนั้น เธอตอบว่า จะได้รับแม่และลูกมาอยู่ด้วยได้
เมื่อถามว่า ... แล้วจะเอาเงินจากที่ไหนมาผ่อน
เธอตอบกลับแบบขึงขังว่า จะหางานเงินเดือนมากกว่าที่นี่ และจะรับทำงานพิเศษเพิ่ม บวกกับรายได้สามี (ซึ่งก็หมื่นกว่าบาทเหมือนกัน) ขยันหน่อยก็น่าจะพอ
ส่งได้
สุดท้ายผมยืนยันว่าคงช่วยทำให้ไม่ได้ และให้ข้อเตือนใจเธอว่า ให้ระวังการสร้างรายจ่ายถาวร โดยที่รายได้ถาวรยังไปไม่ถึง หรือมีไม่พอ แล้วไปหวังเอาข้างหน้า เพราะเป็นเรื่องที่เสี่ยงมาก
พร้อมกับแนะนำให้เธอลดขนาดบ้านที่จะซื้อลงสักหน่อย เอาแบบที่รายได้เธอรวมกับสามีพอผ่อนไหว หรืออาจเลือกเช่าเขาไปก่อนดีกว่า เพื่อจะได้ไม่สร้างรายจ่ายถาวรเกินตัวจนเกินไป
ไม่ได้ผลครับ!! เธอบอกว่าไม่เป็นไร เพราะผมแค่เป็น Option หนึ่งเท่านั้น เธอยังมีบริษัทของเพื่อนๆ เธอ ที่พร้อมจะช่วยทำเอกสารนี้ให้ได้ จบด้วยออกอาการไม่พอใจผมเล็กๆ
“หนูช่วยพี่มาตั้งหลายปี ช่วยหนูแค่นี้ก็ไม่ได้” คือ ประโยคสุดท้ายที่เธอคุยกับผม
หลังจากนั้นไม่กี่เดือน เธอก็ยื่นขอลาออก ... (ไม่รู้ว่าไม่พอใจเรื่องนี้ด้วยหรือเปล่า)
เรื่องราวผ่านไปได้ 2 ปี ผมเจอเธออีกครั้งในแผนกชุดกีฬา ของห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง ขณะผมกำลังเดินหาซื้อรองเท้าผ้าใบไว้ใส่ทำงาน เธอเดินเข้ามาทัก ผมชวนเธอคุยถึงความเป็นไปในชีวิต
สิ่งแรกที่เธอบอกกับผมก็คือ “วันนั้นหนูน่าจะเชื่อพี่”
หลังจากนั้นเธอเล่าให้ฟังถึงสภาวะการเงินหลังกู้ซื้อบ้านในฝันของตัวเองได้ ซึ่งในที่สุดเธอเสียบ้านหลังนี้ไปและกลับมาเช่าเขาอยู่ตามเดิม ที่แย่คือเธอแยกทางกับแฟน เพราะมีปากเสียงเรื่องเงินกันทุกวัน
ที่จริงผมเชื่อว่า ก็มีบางคนที่ตัดสินใจสู้อะไรเกินตัวแบบนี้ แล้วรอด แล้วทำได้ ผมเชื่อว่าก็มีครับ
แต่ก็มีอีกไม่น้อยที่ไม่รอด การเงินในชีวิตพังไปเลย และอาจต้องใช้เวลานานในการแก้ไขให้กลับมาดีเหมือนเดิม
หลายครั้งที่คำแนะนำดีๆ มันอาจขัดกับความสุข ความหวัง หรือความฝันของเราอยู่บ้าง แต่หากเปิดใจรับฟังอย่างมีสติ ก็อาจจะช่วยเราดำเนินชีวิตอย่างไม่ประมาทได้
หลังแยกกัน ผมรู้สึกไม่สบายใจเล็กๆ เพราะสงสัยตัวเองว่า เราพยายามเตือนเขามากพอหรือเปล่าในวันนั้น
หรือสุดท้ายแล้ว คำเตือนเราก็คงไม่มีประโยชน์อะไร ในวันที่ความคิดของเขาจับจ้องในสิ่งที่มุ่งหวัง และไม่ต้องการฟังความเห็นที่แตกต่าง
#TheMoneyCoachTH
ปล. ปัจจุบันน้องคนนี้เช่าบ้าน เปิดร้านขายอาหาร อาศัยอยู่กับคุณแม่และลูกของเธอ และเริ่มกลับมาตั้งหลักเรื่องการเงินได้อีกครั้ง
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี