วันอาทิตย์ ที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2568
เมื่อต้นเดือนกุมภาพันธ์ 2566 ที่ผ่านมา กระทรวงสาธารณสุขให้ความเห็นชอบที่จะเสนอร่างกฎกระทรวงเกี่ยวกับกำหนดปริมาณยาเสพติดให้โทษและวัตถุออกฤทธิ์ขึ้นใหม่ ซึ่งจะต้องนำเสนอเข้าสู่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบ ก่อนประกาศมีผลบังคับใช้ตามกฎหมาย
กฎกระทรวงสาธารณสุขดังกล่าว มีสาระสำคัญว่า ให้สันนิษฐานว่า การครอบครองยาเสพติดให้โทษประเภท 1 (ยาเสพติดให้โทษชนิดร้ายแรง) แอมเฟตามีนและเมทแอมเฟตามีน (หรือที่เรียกว่า“ยาบ้า”) ในปริมาณไม่เกิน 1 เม็ด ให้ถือเป็นเพียงผู้เสพ หรือผู้ป่วยที่ต้องเข้าสู่กระบวนการบำบัดและฟื้นฟูด้วยความสมัครใจของผู้เสพ จะไม่ต้องถูกดำเนินคดี ลงโทษอาญา เยี่ยงอาชญากรค้ายาเสพติด และให้ผู้กล่าวโทษมีภาระพิสูจน์ความผิด(หากมีเกิน 1 เม็ด หรือตั้งแต่ 2 เม็ด ขึ้นไปถือเป็นผู้ค้า)
มาตรการเหล่านี้ล้วนเป็นเจตนารมณ์หลักที่ต้องการจำแนก ผู้เสพ ซึ่งถือว่าเป็นผู้ป่วย จากผู้ค้ายา
ได้มีผู้แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับร่างกฎกระทรวงสาธารณสุขดังกล่าว อย่างมากมาย เช่น ในมุมมองของผู้ที่เห็นด้วย มีความเห็นว่า ตามกฎหมายเดิม ผู้ที่มียาเสพติดตั้งแต่ 5 เม็ดขึ้นไปถือเป็นผู้ค้ายาเสพติด ไม่ใช่ผู้เสพ ที่ผ่านมา ผู้ค้ายาเสพติดจะใช้วิธีเลี่ยงกฎหมาย ด้วยการมียาเสพติดไว้ในครอบครอง เพียง 5 เม็ด และเวียนขาย เมื่อถูกจับกุม จะมีข้ออ้างและข้อต่อสู้ว่า เป็นเพียงผู้เสพ ไม่ใช่ผู้ค้ายาเสพติด กฎกระทรวงสาธารณสุขใหม่ จะแก้ปัญหาในประเด็นนี้ได้
แต่ในมุมมองของผู้ที่ไม่เห็นด้วย มีความเห็นว่า กฎกระทรวงสาธารณสุขใหม่นี้ น่าจะเข้มงวดมากเกินไป หากบังคับใช้จริงอาจเกิดปัญหาในทางปฏิบัติได้หลายประการ ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของเรือนจำ ที่จะควบคุมหรือจำขังผู้กระทำความผิด ที่จะเพิ่มจำนวนมากขึ้น จนไม่มีสถานที่พอ
รวมถึงการให้อำนาจของเจ้าหน้าที่ตำรวจผู้จับกุมว่า จะใช้อำนาจโดยความชอบธรรม ถูกต้องไม่มีการกลั่นแกล้ง ได้มากน้อยแค่ไหน
แม้ว่าจะมีคำอธิบายจากผู้ที่เป็นกรรมการร่างกฎกระทรวงสาธารณสุขนี้ว่า กฎหมายให้อำนาจและดุลพินิจของเจ้าหน้าที่ผู้จับกุมว่า หากมียาเสพติดเกินกว่า 1 เม็ดขึ้นไป จะพิจารณาดำเนินคดีว่า เป็นผู้ค้ายาเสพติดหรือไม่ ซึ่งน่าจะเป็นการให้อำนาจในการพิจารณาที่กว้างขวางในมากเกินไป น่าจะเกิดปัญหาขึ้นจริงเมื่อปฏิบัติ
ปัจจุบันประเทศไทยมีกฎหมายหลักฉบับใหม่ กำหนดมาตรการป้องกันและปรามยาเสพติด อยู่ 2 ฉบับ คือพ.ร.บ.ให้ใช้ประมวลกฎหมายยาเสพติด พ.ศ.2564 และ พ.ร.บ.วิธีพิจารณาคดียาเสพติด พ.ศ.2564
มีคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (คณะกรรมการ ป.ป.ส.) ทำหน้าที่กำหนดนโยบายป้องกันและปราบยาเสพติด (มาตรา 4 และ 5) สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบยาเสพติด (สำนักงาน ป.ป.ส.) (มาตรา 22) เป็นหน่วยงานเฉพาะที่ทำหน้าที่รับผิดชอบในการดำเนินการปฏิบัติให้เป็นไปตามนโยบายที่คณะกรรมการฯกำหนด ทั้งนี้ โดยมีคณะกรรมการควบคุมยาเสพติด (มาตรา 25) ทำหน้าที่ กำหนดวางมาตรการ ข้อปฏิบัติในการควบคุมและใช้ประโยชน์จากยาเสพติดและสารเสพติด เสนอต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ให้ทำหน้าที่ออกกฎหมายลำดับรอง (กฎกระทรวง) บังคับใช้เกี่ยวกับการกำหนดชื่อยาเสพติดและสารเสพติดเพื่อการควบคุมและใช้ประโยชน์จากยาเสพติดในทางการแพทย์และสารเสพติดที่ใช้ในทางอุตสาหกรรม (มาตรา 26)
พ.ร.บ. ประมวลกฎหมายยาเสพติด พ.ศ.2564 แบ่งยาเสพติดออกเป็น 5 ประเภท โดย
ประเภทที่ 1 ยาเสพติดให้โทษชนิดร้ายแรง (เช่นเฮโรอีนฯ) และเมทแอมเฟตามีนหรือยาบ้าที่เป็นประเด็นปัญหาจัดอยู่ในยาเสพติดให้โทษชนิดร้ายแรงของประเภทที่ 1 ด้วย
ประเภทที่ 2 ยาเสพติดให้โทษทั่วไป เช่น มอร์ฟีน โคคาอีน โคเดอีน ฯล
ประเภทที่ 3 ยาเสพติดให้โทษที่มีลักษณะเป็นตำรับยา
ประเภทที่ 4 สารเคมีที่ใช้ในการผลิตยาเสพติดให้โทษในประเภท 1 หรือประเภท 2
ประเภทที่ 5 ยาเสพติดให้โทษที่ไม่เข้าอยู่ในประเภท 1 ถึง 4 (เช่น กัญชา พืชกระท่อม)
ยาเสพติดให้โทษชนิดร้ายแรง ประเภทที่ 1 ต้องห้ามผลิตนำเข้า ส่งออก จำหน่าย และครอบครอง (มาตรา 145 และ มาตรา 90 พ.ร.บ. ประมวลกฎหมายยาเสพติด พ.ศ.2564) ทำให้เห็นได้ว่า กฎหมายหลักฉบับดังกล่าวข้างต้น ได้มีการยกเลิกบริบทในเชิงรายละเอียดที่กำหนดจำนวนปริมาณยาเสพติดในครอบครอง (ข้อสันนิฐานว่าเป็นการครอบครองยาเสพติดเพื่อจำหน่าย ตามกฎหมายฉบับเดิม (มาตรา 15 แห่ง พ.ร.บ. ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522) รวมถึงกระบวนการฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติด (พ.ร.บ.ฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติด พ.ศ. 2545) แม้จะได้มีการวางบริบทที่รวมหลักการเดิมไว้แล้วตามมาตรา 145 และมาตรา 90 แต่หากยังมิได้มีการกำหนดกฎหมายระดับอนุบัญญัติที่สมบูรณ์ (มาตรการให้ผู้เสพเข้ากระบวนการบำบัดโดยสมัครใจ และผู้กล่าวหาภาระพิสูจน์ความผิด อาจเป็นเพียงมาตรการนามธรรม) ที่เป็นแนวทางจำแนกผู้เสพและผู้จำหน่ายไว้อย่างชัดเจนพอให้เป็นเครื่องมือประกอบใช้ดุลพินิจได้ ย่อมยังเป็นภาระหนักแก่ระบบกระบวนการยุติธรรมในการใช้ดุลพินิจมาไปตลอด
อย่างไรก็ตาม อาจกล่าวได้ว่า มาตรการทางกฎหมายที่เข้มงวดและระวางโทษหนัก กระบวนการยุติธรรมที่เข้มงวดเป็นปราการป้องกันที่สำคัญด่านแรกในการป้องกันและขจัดปัญหายาเสพติดให้เบาบางหรือหมดไปจากสังคมของแต่ละประเทศที่นิยมนำมาใช้ (ตัวอย่างกฎหมาย Misuse of Drugs Act ของประเทศสิงคโปร์ที่ประสบความสำเร็จ) รวมถึงมาตรการทางการแพทย์ที่เป็นส่วนหนึ่งของนโยบายประเทศปลอดยาเสพติดที่จริงจังและต่อเนื่องนั้น มีความสำคัญไม่แพ้กัน
อย่างไรก็ตาม ควรมองปัญหาให้รอบด้านเกี่ยวกับกฎกระทรวง สาธารณสุขใหม่นี้ โดยเฉพาะในเรื่องปัญหาการจับกุม
พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย มีผลบังคับใช้แล้วตั้งแต่วันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2566 ที่ผ่านมา ซึ่งมีข้อกำหนดว่า เมื่อเจ้าหน้าที่จับกุมผู้กระทำความผิด จะต้องบันทึกภาพเคลื่อนไหวและเสียง แต่รัฐบาลกลับชิงออกพระราชกำหนด เพื่อเลื่อนการบังคับใช้ การจับกุมที่ต้องมีการบันทึกดังกล่าว โดยอ้างว่า ขณะนี้ตำรวจไม่พร้อมในเรื่องเครื่องมือและอุปกรณ์ อีกทั้งไม่ยอมนำเสนอพระราชกำหนดนี้เข้าที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร เพราะเกรงจะถูกลงมติไม่เห็นด้วย แต่ใช้วิธีนำส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความ เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหา
ดังนั้นหากกฎกระทรวงสาธารณสุขใหม่นี้ ใช้บังคับจริง น่าจะเป็นปัญหา เพราะการกำหนดใช้ไม่ได้บูรณาการแก้ไขปัญหาพร้อมกันทุกด้าน

สลด! ลิงกังกัด ชายวัย 63 เสียชีวิตคาบ้าน พบมือยังถือเหล็กยาว มีบาดแผลบริเวณขาซ้าย
ดราม่าสนั่นเครื่องเล่น Skyflyers เสียงกรี๊ดดังโหยหวนยันดึก ชาวชุมชนรอบเอเชียทีคสุดจะทน
เปิดวินาทีไทยแสดงหลักฐาน ทหารกัมพูชาวางทุ่นระเบิด กลางที่ประชุมอนุสัญญาออตตาวา
วันนี้ในอดีต! รำลึก 27 ปี ในหลวง ร.9 เสด็จฯ เปิดเอเชียนเกมส์ ครั้งที่ 13 มิตรภาพไร้พรหมแดน
เตรียมออกหมายเรียก เวย์ ไทเทเนียม รับทราบข้อกล่าวหา ฉ้อโกงทรัพย์ สัปดาห์หน้า

เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี