บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เคจีไอ (ประเทศไทย) วิเคราะห์หุ้นธนาคารกรุงไทย หรือ KTB ผู้บริหาร KTB ชี้แจงว่าธนาคารได้ใช้เวลาหลายปีเพื่อปรับสมดุลของพอร์ตสินเชื่อ, yield, การคุมคุณภาพสินเชื่อโดยที่ยังรักษาการเติบโตไว้ในระดับที่ดี ธนาคารได้ทยอยลดการปล่อยกู้ในกลุ่ม SME ที่มีความเสี่ยงสูง จาก >20% ของสินเชื่อรวมในช่วงก่อน COVID ระบาด เหลือ 12% ในปัจจุบัน พร้อมทั้งสะสางสินเชื่อ SME ที่ปล่อยตามนโยบายของรัฐบาลและไม่ก่อให้เกิดรายได้ หลังจากใช้เวลา 3 ปีในการปรับ ทำให้พอร์ตในปัจจุบันมั่นคงขึ้น โดยมีสัดส่วน NPL coverage อยู่ที่ 180%

ธนาคารยังเตรียมความพร้อมในส่วนของงบดุล เพื่อรับมือกับความปั่นป่วนของตลาดทั้งในประเทศ และต่างประเทศ โดยปล่อยสินเชื่อด้วย duration ที่สั้นลง ซึ่งดอกเบี้ยของสินเชื่อส่วนใหญ่จะถูกปรับตามการขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย แม้แต่สินเชื่อที่ปล่อยให้กับรัฐบาลในรูปของ term loan อายุ 1-3 ปี ยังกำหนดอัตราดอกเบี้ยลอยตัว และปรับดอกเบี้ยทุก 3 เดือน นอกจากนี้ยังลด duration ของพอร์ตการลงทุนในตราสารหนี้ พร้อมทั้งโยกไปบันทึกเป็นสินทรัพย์ประเภทพร้อมขาย (AFS) โดยไม่มีการลงทุนไหนที่บันทึกเป็นสินทรัพย์ที่ถือจนครบอายุ (HTM) วิธีนี้จะช่วยลดความผันผวนของผลขาดทุน MTM จากการลงทุนระยะยาว ท่ามกลางสภาวะตลาดทุนที่ผันผวนทั้งในประเทศ และในต่างประเทศ

ผู้บริหารภูมิใจที่ธนาคารสามารถขยายบริการธนาคารดิจิทัลได้สำเร็จจากการที่สามารถพัฒนาแอปฯ เป๋าตัง (แอปฯ ของรัฐบาล) โดยมีผู้ใช้งาน 40 ล้านราย และ KTB NEXT (ธนาคารดิจิทัล) 16 ล้านราย จะทำให้สร้างการเติบโตในส่วนของบริการธนาคารดิจิทัลได้เร็วยิ่งขึ้น นอกจากนี้ KTB ยังแยกหน่วยงาน ITออกมาเป็นบริษัทลูก (Infinitus) เพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้าน IT และหาการลงทุนด้านเทคโนโลยี ซึ่งจะทำให้ธนาคารมุ่งสู่การให้บริการ virtual banking ได้เร็วยิ่งขึ้น

ธนาคารมองการเติบโตปีนี้แบบสบายๆ มากขึ้น ท่ามกลางภาวะตลาดการเงินโลกที่ปั่นป่วน โดย ตั้งเป้าจะเพิ่ม NIM อีก 20bpsและตั้งเป้าอัตราการเติบโตขอรายได้จากค่าธรรมเนียมเป็นเลขหลักเดียว ขณะที่ตั้งเป้าว่า credit cost จะไม่ต่างจาก 92bps ในปีที่แล้วมากนัก ซึ่งเป้าเหล่านี้ส่วนใหญ่ยังเป็นไปตามสมมุติฐานของเรา ดังนั้น เราจึงยังคงประมาณการกำไรปี 2566/2567 และราคาเป้าหมายปี 2566F (ที่ 19.50 บาท) เอาไว้เท่าเดิม

ปัจจัยเสี่ยงจากมาร์จิ้นถูกกดดัน

ที่มา : บล.เคจีไอ (ประเทศไทย)