บริษัทหลักทรัพย์(บล.)เคจีไอ(ประเทศไทย)ประเมินว่าหลังจากที่ดัชนี PMI ภาคการผลิต และมูลค่าการส่งออกของจีนชะลอตัวลงอย่างชัดเจนในช่วงสองสามเดือนที่ผ่านมา จีนจึงเริ่มออกมาตรการกระตุ้นทางการเงินระลอกใหม่ ซึ่งสอดคล้องกับอัตราเงินเฟ้อที่ลดลงมาในช่วงนี้ โดย PBoC ได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ย reverse repo อายุ 7 วันลง 10bps เหลือ 1.9% และอัตราดอกเบี้ย standing lending facilities (SLF) อายุ 7 วันลง 10bps เหลือ 2.9% นอกจากนี้ นักเศรษฐศาสตร์ส่วนใหญ่ยังคาดว่าทางการจีนจะปรับลดอัตราดอกเบี้ย medium-term lending facilities (MLF) ซึ่งเป็นตัวที่ตลาดให้ความสนใจอย่างมากตามมาอีกในวันที่ 15 มิถุนายน ทั้งนี้ การกดให้ต้นทุนทางการเงินในตลาด interbank ลดลงน่าจะช่วยให้สภาพคล่องในระบบเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ นักลงทุนยังควรติดตามด้วยว่าจีนจะปรับลดอัตราดอกเบี้ย loan prime rate (LPR) ในวันที่ 20 มิถุนายนด้วยหรือไม่

ในปัจจุบัน มีนักลงทุนจำนวนมากที่มองว่าเศรษฐกิจของทั้งสหรัฐ และยุโรปจะชะลอตัวลงอย่างมีนัยสำคัญใน 2H66 แต่ไม่น่าจะรุนแรงจนถึงขั้นเกิดวิกฤตเศรษฐกิจรอบใหม่ ดังนั้น โมเมนตัมการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีนจึงจะเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยกำหนดภาวเศรษฐกิจมหภาคโลก ซึ่งในกรณีบวกที่มาตรการกระตุ้นทางการเงินของจีน และมาตรการกระตุ้นในรูปแบบอื่นๆ ที่อาจจะมีการออกตามมา สามารถทำให้อุปสงค์ในประเทศจีนแข็งแกร่งขึ้นได้ จะทำให้เศรษฐกิจโลกใน 2H66 และปี 2567 มี upside อีก อย่างไรก็ตามเรามองว่าการที่จีนลดดอกเบี้ยเพียงอย่างเดียวยังไม่พอที่จะกระตุ้นเศรษฐกิจจีนได้อย่างมีนัยสำคัญ

สำหรับตลาดหุ้นไทย หุ้นท่องเที่ยว ผู้บริโภค และนิคมอุตสาหกรรมเป็นกลุ่ม top 10 ที่เกี่ยวเนื่องกับจีน เรามองว่าหุ้นท่องเที่ยว อย่างเช่น กลุ่มโรงแรม และขนส่ง รวมถึงหุ้นผู้บริโภค และนิคมอุตสาหกรรมเป็นกลุ่ม top 10 ที่มีความเกี่ยวเนื่องกับจีนในแง่สัดส่วน % ของรายได้ ซึ่งหุ้นเหล่านี้อาจจะได้แรงหนุนจากภาวะตลาดที่เป็นบวกในระยะสั้นขณะที่ผลประกอบการก็อาจจะมี upside หากอุปสงค์จากจีนฟื้นตัวได้ดีกว่าที่คาดไว้ในช่วงเดือนต่อๆ ไป

เรามองว่า SPA, AAV, AOT, WHA, ERW และCPALLเป็นหุ้นหกตัวที่มีประเด็นดีสนับสนุน และน่าจะได้อานิสงส์อย่างชัดเจนจากธีมการกระตุ้นเศรษฐกิจของจีน

ที่มา : บล.เคจีไอ(ประเทศไทย)