“ฟื้นตัวได้อย่างต่อเนื่อง”
บริษัทหลักทรัพย์(บล.)เคจีไอ(ประเทศไทย)วิเคราะห์หุ้นบริษัทปูนซิเมนต์ไทย หรือSCC วันที่ 30 กรกฎาคมนี้เราคาดเบื้องต้นว่ากำไรสุทธิ2Q68F จะอยู่ที่ 2.9 พันล้านบาท (-22% YoY แต่ +164% QoQ) หากไม่รวมขาดทุนจากสต็อก 700 ล้านบาท กำไรหลักน่าจะอยู่ที่ 2.2 พันล้านบาท (-41% YoY และ +85% QoQ)กำไรที่พุ่งขึ้นQoQ จะเป็นผลจากรายได้เงินปันผลจาก Toyota และ Kubota (ปกติจะได้รับในไตรมาส 2 และ 4), ธุรกิจเคมีแข็งแกร่งขึ้นและการลดต้นทุน เรายังไม่ได้รวมกำไรปรับมูลค่าใหม่หลังจากการจัดประเภทเงินลงทุนใน PT Chandra Asri Pacific Tbk (CAP) ใหม่เป็นการลงทุนอื่นๆ(จากเดิมที่เป็นเงินลงทุนในบริษัทร่วม)คาดกำไรการขายสัดส่วนถือหุ้นที่ลดลงเหลือ20%(จาก 30.57%) จะเกิดขึ้นใน 2H68
ประเด็นที่น่าสนใจ
i)กลุ่มธุรกิจเคมีน่าจะมีปริมาณการขายและราคาผลิตภัณฑ์ที่แข็งแกร่งขึ้นหลังอุปสงค์ใหม่ที่เพิ่มขึ้นต่ำกว่าที่ตลาดคาด ขณะที่ spread ราคา HDPE อยู่ที่ US$363/ton (+13% QoQ แต่ -0.3% YoY) และ spread ราคา PP อยู่ที่ US$352/ton (+8% QoQ และ +3% YoY)
ii)กำไรกลุ่มธุรกิจปูนซีเมนต์ น่าจะลดลง QoQ (แต่เพิ่มขึ้น YoY) เพราะเป็นช่วงโลว์ซีซันและอุปสงค์ที่อยู่อาศัยชะลอตัว แม้ว่าราคาขายเฉลี่ยจะสูงขึ้นและใช้กลยุทธ์เพื่อเพิ่มการใช้ปูนซีเมนต์คาร์บอนต่ำ (ผลิตภัณฑ์พรีเมียม)
iii)กลุ่มธุรกิจบรรจุภัณฑ์ คาดจะมีกำไรเพิ่มเล็กน้อย QoQ หนุนโดยการตุนสต็อก ที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง, ประสิทธิภาพด้านต้นทุน และการดำเนินงานของ Fajar ในอินโดนีเซียดีขึ้น อย่างไรก็ตามกำไรยังคงลดลง YoY
SCC กำลังพิจารณาการกลับมาดำเนินการเชิงพาณิชย์ของโรงงาน LSP ซึ่งเป็นสัญญาณเชิงบวกว่าวัฏจักรขาลงของปิโตรเคมีอาจถึงจุดต่ำสุดแล้ว – หนุนโดย spread ราคา PP ที่ดีขึ้น บริษัทกำลังเตรียมวัตถุดิบและได้รับคำสั่งซื้อไว้แล้ว ส่วนประเด็นที่สหรัฐฯ ห้ามส่งออกอีเทนไปยังจีนอาจลดต้นทุนอีเทนของ SCC ก่อนโครงการโรงงานผลิตอีเทนแครกเกอร์มูลค่า 500 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ที่กำหนดไว้ในปี 2570 เงินที่ได้จากการขายเงินลงทุนใน Chandra Asri เป็นส่วนหนึ่งที่จะช่วยเสริมความพยายามในการลด net debt/EBITDA จาก 5.5x ให้เหลือ 3x ในระยะยาว ซึ่งจะทำให้งบดุลของบริษัทแข็งแกร่งขึ้น
Bloomberg consensus ให้คำแนะนำหุ้น SCC ที่ ซื้อ/ถือ/ขาย (26%/56%/19%)หลังปรับลดประมาณการกำไรปี 2568F-2569F ลง 45-50% ในช่วง YTD ตลาดคาดกำไรสุทธิที่ 8.1 พันล้านบาท (+29% YoY) ในปี 2568F และ 1.29 หมื่นล้านบาท (+58% YoY) ในปี 2569F เราเชื่อว่า sentiment ของตลาดได้กลับเป็นบวกมากขึ้น แรงผลักดันจากความหวังว่ากำไรอาจผ่านจุดต่ำสุดไปแล้วใน 4Q67 ขณะที่ความเป็นไปได้ในการกลับมาดำเนินการโรงงานปิโตรเคมี LSP อาจช่วยดันให้มีการปรับประมาณการกำไรขึ้น ราคาหุ้นได้ปรับตัวขึ้นมาแล้วจากต่ำกว่าค่าเฉลี่ย 5 ปีในอดีต -2SD เป็น -1.5SD สะท้อนถึงความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่ดีขึ้น
ปัจจัยเสี่ยงจากการปิดซ่อมบำรุงนอกแผน, อุปทานเกิน, ปัญหา cost overruns และภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว
ที่มา..บล.เคจีไอ(ประเทศไทย)
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี