nn วิจัยกรุงศรี ธนาคารกรุงศรีอยุธยา ได้เผยแพร่บทวิเคราะห์ภาวะเศรษฐกิจและการเงิน(ฉบับวันที่ 12 ก.ย. 2566)...โดยในตอนหนึ่งได้ระบุถึงกรณีที่..ฟิทช์ เรทติ้งส์ บริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือ ได้แสดงความเป็นห่วงต่อ นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลชุดใหม่อาจทำให้ระดับหนี้ของรัฐบาลเพิ่มสูงขึ้น กระทบเสถียรภาพทางการคลัง ซึ่ง ฟิทช์ เรทติ้งส์ ได้ประเมินว่าเศรษฐกิจไทยอาจได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวลง สะท้อนจากมูลค่าการส่งออกที่ติดลบต่อเนื่องนับตั้งแต่เดือนตุลาคม 2565 และจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่มาไทยยังคงอยู่ในระดับต่ำกว่าช่วงก่อนเกิดการระบาดโควิด-19 นอกจากนี้ ฟิทช์ยังให้ความเห็นว่าเสถียรภาพทางการคลังของไทยอาจจะถูกกระทบจากการที่พรรคการเมืองหลายพรรคเคยให้คำมั่นสัญญาไว้ในช่วงหาเสียงว่าจะเพิ่มการใช้จ่ายทางสังคม ซึ่งนโยบายประชานิยมเหล่านี้อาจจะช่วยหนุนการเติบโตของเศรษฐกิจในระยะสั้นแต่อาจส่งผลให้สัดส่วนหนี้สาธารณะต่อ GDP เพิ่มสูงขึ้น หากไม่สามารถรักษาระดับการเติบโตของเศรษฐกิจให้มีความต่อเนื่องได้
และในการแถลงนโยบายต่อรัฐสภาของรัฐบาล...นโยบายด้านเศรษฐกิจที่กำลังถูกจับตามองมากนโยบายหนึ่ง คือ โครงการแจกเงินดิจิทัล วอลเล็ต 10,000 บาท (วงเงินรวม 5.6 แสนล้านบาท) ให้กับผู้มีอายุตั้งแต่ 16 ปีขึ้นไป ราว 56 ล้านคน ใช้จ่ายภายใน 6 เดือน ในรัศมี 4 กิโลเมตร (อาจมีการปรับให้ยืดหยุ่น) ล่าสุดยังต้องติดตามความชัดเจนของแหล่งเงินที่จะนำมาใช้ในการดำเนินโครงการดังกล่าวรวมถึงวิธีการแจกเบื้องต้นรัฐบาลระบุถึงแหล่งเงินอาจจะนำมาจากหลายๆ ภาคส่วนด้วยกัน อาทิ การจัดสรรจากงบประมาณรายจ่าย และการกู้เงิน (ล่าสุดหนี้สาธารณะเดือนกรกฎาคมอยู่ที่ 61.7%)
ส่วนผลต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยในปี 2567 ขึ้นอยู่กับว่าการใช้จ่ายนี้จะสามารถหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจไปได้กี่รอบ ซึ่งจากผลการศึกษาของสำนักงบประมาณของรัฐสภา (ปี 2564) พบว่าตัวคูณทางการคลัง (Fiscal Multipliers) ของรายจ่ายเงินโอนสำหรับประชาชนทั่วไปอยู่ที่ 0.947 ต่ำสุดเมื่อเทียบกับการใช้จ่ายภาครัฐในประเภทอื่นๆ เช่น ค่าตอบแทนบุคลากรภาครัฐ (1.871) รายจ่ายเงินโอนสำหรับประชาชนผู้มีรายได้น้อย (1.356) และรายจ่ายเพื่อการลงทุน (1.242) เป็นต้น
นอกจากนี้ รศ.ดร.อธิภัทร มุทิตาเจริญ อาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ และผู้อำนวยการศูนย์วิจัยเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ก็ยังกล่าวถึงนโยบายแจกเงินดิจิทัล 10,000 บาทด้วยเช่นกัน โดยระบุว่า อยากให้รัฐบาลออกแบบวิธีการแจกเงินอย่างระมัดระวังและให้มีประสิทธิผลสูงสุด เนื่องจากฐานะทางการคลังของประเทศไทยไม่ได้แข็งแกร่งเหมือนเมื่อก่อน โดยต้นทุนของนโยบายดิจิทัล วอลเล็ต กว่า 5 แสนล้านบาทจะคิดเป็นต้นทุนทางการคลังประมาณ 3.5%ของจีดีพีไทย
วิธีการแจกเงินเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นบนโลกนี้อาจแบ่งได้เป็นสองแบบกว้างๆ แบบแรกคือ การแจกเงินแบบดั้งเดิม (Traditional Cash Stimulus) เป็นการให้เงินทั้งก้อนโดยตรง โดยไม่กำหนดวิธีการใช้จ่ายใดๆ ซึ่งมักได้ประสิทธิผลต่ำ เนื่องจากประชาชนมักไม่นำเงินไปใช้จ่ายทั้งหมดในทันที หรือ อาจนำไปออมแทน อีกทั้งมีโอกาสนำเงินไปซื้อสินค้าใหญ่ชิ้นเดียว ทำให้ไม่เกิดการกระจายเงินอย่างทั่วถึง
ส่วนแบบที่สอง คือ การแจกเงินเพื่อการบริโภคโดยเฉพาะ (Consumption-mandated Stimulus) เป็นที่นิยมในยุคที่เทคโนโลยีก้าวหน้ามากขึ้น ผ่านการใช้ดิจิทัลแพลตฟอร์มมาเป็นตัวกลางในการกำหนดเงื่อนไขการใช้จ่ายและกลุ่มเป้าหมาย ยกตัวอย่างเช่น ประเทศจีนที่มีการให้คูปองดิจิทัลผ่านการกำหนดเงื่อนไขการจ่ายร่วม (Co-payment) โดยรัฐจะให้คูปองส่วนลดเมื่อประชาชนใช้จ่ายถึงยอดที่กำหนด และประเทศไทยที่รัฐร่วมจ่ายครึ่งหนึ่งในโครงการคนละครึ่งผ่านแอปเป๋าตัง
“การประเมินจากฝั่งรัฐบาลว่าจะมีเม็ดเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจเพิ่มขึ้นถึง 6 เท่า หรือ 3 ล้านล้านบาท จากนโยบายดิจิทัล วอลเล็ต ดูจะเป็นตัวเลขที่สูงเกินจริง อย่างไรก็ตาม การออกแบบนโยบายการแจกเงินโดยมีเงื่อนไขให้คนควักกระเป๋าตัวเองออกมาจ่ายด้วย จะช่วยให้เราเห็นประสิทธิผลที่สูงขึ้นได้” รศ.ดร.อธิภัทร กล่าว
ทั้งนี้ รศ.ดร.อธิภัทรได้ร่วมกับ LINE MAN Wongnai ในการทำวิจัยเรื่อง Digital Fiscal Stimulus, SMEs, and the Consumer : Insights from Thailand’s Half and Half programเพื่อศึกษาผลกระทบของโครงการคนละครึ่งต่อพฤติกรรมของร้านค้าและผู้บริโภค ผลการวิจัยชี้ว่าร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการมียอดขายเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดเมื่อเปรียบเทียบกับร้านค้าที่ไม่เข้าร่วม โดยกลไกหลักของโครงการคนละครึ่งคือ การขยายฐานลูกค้าให้แก่ร้านที่เข้าร่วมโครงการ นอกจากนี้ อีกข้อค้นพบที่สำคัญคือ แม้จะจบโครงการไปแล้ว แต่ยอดขายของร้านค้าที่เข้าร่วมยังคงเพิ่มขึ้นเมื่อเปรียบเทียบกับก่อนเข้าโครงการ เพราะร้านค้าเป็นที่รู้จักมากขึ้น ได้ฐานลูกค้าที่กว้างขึ้น
“การกำหนดให้ผู้บริโภคร่วมจ่ายด้วยจะช่วยเพิ่มประสิทธิผลต่อการกระตุ้นเศรษฐกิจ อย่างไรก็ตาม สำหรับนโยบายดิจิทัล วอลเล็ต หากรัฐบาลไม่ต้องการให้ผู้บริโภคร่วมจ่ายด้วยเหมือนคนละครึ่ง ก็ควรกำหนดเงื่อนไขให้มีเพดานจำกัดการใช้จ่ายในแต่ละครั้ง ไม่ให้ใช้ทีเดียวหมด จะเป็นการกระจายฐานลูกค้าไปยังร้านค้าอื่น ยิ่งหากโฟกัสที่ร้านค้าขนาดเล็ก จะมีโอกาสสร้างผลกระทบเชิงบวกในระยะยาวอย่างที่รัฐบาลคาดหวังไว้” รศ.ดร.อธิภัทร กล่าว
ทั้งนี้ การกำหนดประเภทของสินค้าที่ต้องใช้จ่ายมีผลต่อพฤติกรรมผู้บริโภคเช่นกัน ควรเป็นการกำหนดให้ซื้อเฉพาะสินค้าไม่คงทน เช่น อาหาร แต่หากอนุญาตให้ซื้อสินค้าคงทนได้แบบครั้งเดียวจบ เช่น เครื่องใช้ไฟฟ้าหรืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ผู้บริโภคจะตัดสินใจซื้อวันนี้ และไม่มีความจำเป็นต้องซื้อในอนาคตอีกต่อไป ผลที่ได้จึงเป็นเพียงการโยกเงินในอนาคตมาใช้ก่อน (Intertemporal Substitution) มีตัวอย่างโครงการในสหรัฐอเมริกาที่ชื่อว่า Cash for Clunkersสมัยวิกฤตซับไพรม์ ปี 2009 ที่รัฐบาลสหรัฐแจกเงินประมาณ 3,500-4,500 ดอลลาร์สหรัฐ ในการกระตุ้นให้คนซื้อรถใหม่เพิ่มขึ้น แต่หลังจากจบโครงการ ยอดขายรถยนต์ดิ่งลงอย่างชัดเจนในขณะที่งานศึกษาของ รศ.ดร.อธิภัทร ไม่พบการโยกเงินในอนาคตลักษณะนี้จากโครงการคนละครึ่ง ซึ่งส่วนมากเป็นการซื้ออาหารต่างๆ
นอกจากนี้ รศ.ดร.อธิภัทร แสดงความกังวลว่าวินัยการคลังที่เคยเป็นจุดแข็งของประเทศไทยมาตลอดกำลังกลายเป็นจุดอ่อน โดยชี้ว่าการหาแหล่งเงินเพื่อสนับสนุนโครงการดิจิทัล วอลเล็ต นี้อาจทำให้รัฐต้องปรับแก้กรอบวินัยที่ควบคุมการกู้เงินต่างๆ ซึ่งหากรัฐบาลไม่สามารถหาข้อสนับสนุนการกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งใหญ่นี้ได้แข็งแรงเพียงพอ ความพยายามที่จะแก้กรอบวินัยการคลังเหล่านี้อาจทำให้สถาบันจัดอันดับความเสี่ยงต่างๆ ลดอันดับความน่าเชื่อถือของรัฐบาลได้ ซึ่งจะส่งผลต่อต้นทุนการกู้ยืมของประเทศในอนาคต
หมุนตามทุน...จำได้ว่าในการจัดตั้งรัฐบาล(แบบข้ามขั้ว)ครั้งนี้ บุคคลระดับแกนนำของพรรคเพื่อไทย หรือแม้แต่ตัวนายเศรษฐา ทวีสินนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง...ได้พูดไว้หลายครั้งว่า...ครั้งนี้พรรคเพื่อไทย“เทหมดหน้าตัก” เพื่อให้การจัดตั้งรัฐบาลได้สำเร็จ...ซึ่งก็ต้องบอกว่า “หน้าตัก” ของพรรคเพื่อไทยคือความเชื่อมั่นความน่าเชื่อถือของพรรคเพื่อไทย...ดังนั้นเมื่อเดิมพันก้อนใหญ่ก้อนสุดท้ายที่มีได้เทออกมาหมดแล้ว...จึงจำเป็นต้องทำทุกทางเพื่อหวังจะเรียกคะแนนนิยมกลับมาให้ได้ในอนาคต...และระยะสั้นจึงมุ่งเป้าไปที่เรื่อง “ประชานิยม” ซึ่งเป็นจุดขายสำคัญของพรรคเพื่อไทย...และผลงานชิ้นแรกที่ต้องทำให้ได้คือ “แจกเงินดิจิทัลคนละ 1 หมื่นบาท”...แต่ถึงตรงนี้...หมุนตามทุน...ชักไม่แน่ใจแล้วว่าสิ่งที่รัฐบาลกำลังจะเร่งผลักดัน...มันคือหน้าตักของพรรคเพื่อไทยหรือหน้าตักของประเทศชาติกันแน่
กระบองเพชร
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี