“ผลประกอบการแข็งแกร่งขึ้น”

บริษัทหลักทรัพย์(บล.)เคจีไอ(ประเทศไทย)วิเคราะห์หุ้นบริษัท เบทาโกรหรือ BTG จากการที่ BTG รายงานกำไรสุทธิ 1Q68 ที่ 1.9 พันล้านบาท (พลิกกลับจากขาดทุนสุทธิ 124 ล้านบาทใน 1Q67 และ + 93% QoQ) โดยกำไรสูงกว่าตลาดคาดราว 12%

กำไรแข็งแกร่งขึ้นมาก YoY แรงหนุนจากทั้งรายได้สูงขึ้นและ GPM ดีขึ้น ส่วนกำไรที่เพิ่ม QoQ เป็นเพราะ GPM สูงขึ้นและสัดส่วนค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร (SG&A) ต่อยอดขายลดลง โดยที่รายได้จากการขายเพิ่มขึ้น 12% YoY และ 1% QoQ อยู่ที่ 3.03 หมื่นล้านบาท ช่วยหนุนจากธุรกิจอาหารและผลิตภัณฑ์โปรตีน (+15% YoY และทรงตัว QoQ) และธุรกิจต่างประเทศ (+61% YoY และ +63% QoQ) หลักๆเป็นผลดีจากการควบรวมกิจการ (M&A) ธุรกิจในประเทศสิงคโปร์

อัตรากำไรขั้นต้น (GPM) ดีขึ้นที่ 17.7% (+6.9ppts YoY และ +2.8ppts QoQ) หนุนจาก i) ราคาปศุสัตว์ในประเทศสูงขึ้น และ ii) ต้นทุนอาหารสัตว์ลดลงโดยเฉพาะราคากากถั่วเหลือง ในแง่สัดส่วนค่าใช้จ่ายต่อยอดขายทรงตัว YoY อยู่ที่ 10.3% แต่ลดลง QoQ จากการควบคุมค่าใช้จ่ายได้ดี ขณะที่ค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยขยับขึ้น 2% YoY แต่ลดลง 3% QoQ อยู่ที่ 202 ล้านบาท นอกจากนั้น BTG ได้บันทึกกำไรจากการตีมูลค่าสินทรัพย์ชีวภาพราว 51 ล้านบาท (+421% YoY) และพลิกกลับจากขาดทุนจากการตีมูลค่าสินทรัพย์ชีวภาพที่ 25 ล้านบาทในไตรมาสก่อนหน้า

เราเชื่อว่าราคาหุ้นปัจจุบันได้สะท้อนผลประกอบการที่แข็งแกร่งไปบางส่วนแล้ว ตอบรับโดยราคาหุ้นพุ่งขึ้น 20% ในช่วงสี่สัปดาห์ที่ผ่านมา อย่างไรก็ดีเราอยู่ระหว่างการทบทวนคำแนะนำและราคาเป้าหมายใหม่และยังไม่ได้โอนย้ายการวิเคราะห์หุ้น BTG อย่างเป็นทางการ อย่างไรก็ตาม เรามีมุมมองเชิกบวกต่อ ราคาเนื้อสัตว์ปัจจุบันและแนวโน้มต้นทุนวัตถุดิบลดลงต่อเนื่อง ในเบื้องต้นเราคาดว่ากำไร 2Q68F ของ BTG จะดีขึ้นต่อเนื่องทั้ง YoY และ QoQ ทั้งนี้ ราคาเนื้อสุกรในประเทศเฉลี่ยตั้งแต่ต้นไตรมาส 2 ถึงปัจจุบันนี้ (2QTD) สูงขึ้นที่ 87.5 บาท/กิโลกรัม (+27% YoY และ +10% QoQ)ขณะที่ราคากากถั่วเหลืองปัจจุบันอยู่ที่ US$298/ton (-16% YoY และ -1% QoQ)

ปัจจัยเสี่ยงความผันผวนของต้นทุนอาหารสัตว์และราคาขาย, เศรษฐกิจชะลอตัว

ที่มา..บล.เคจีไอ(ประเทศไทย)