ขอพักเบรคจากเรื่องการเมืองในบ้านลุงแซมมาเขียนเรื่องเบาๆ บ้าง เพราะเดือนธันวาคมถือเป็นวาระแห่งการเฉลิมฉลอง โดยเฉพาะช่วงคริสต์มาส ซึ่งประเทศทั่วโลกต่างอวยพรอย่างแช่มชื่นว่า “เมอรี่ คริสต์มาส” จะยกเว้นแต่ลุงแซมชาติเดียว ที่มักอวยพรว่า “แฮปปี้ ฮอลิเดย์” การอวยพรแบบเหมารวมเช่นนี้บ่งบอกถึงความไร้เทือกเถาเหล่ากอและเป็นประเทศจับฉ่ายอย่างชัดเจน
หากเปิดหน้าประวัติศาสตร์อเมริกา ก็คงรู้ว่าเจ้าของแผ่นดินดั้งเดิมคืออินเดียนแดง ที่ปัจจุบันกลายเป็นชนกลุ่มน้อยในบ้านตนเองไปเสียแล้ว เพราะการครอบครองของชาวยุโรปที่เข้ามาลงหลักปักฐานแล้วหาทางผลักไสเจ้าของบ้านให้ไปอยู่ในแผ่นดินทุรกันดาร ตัวเองจะได้ครอบครองผืนดินอันอุดมสมบูรณ์แทน นอกจากฝรั่งผิวขาวซึ่งส่วนใหญ่นักถือศาสนาคริสต์แล้ว ยังมีคนผิวดำที่ฉุดกระชากพรากจากบ้านเกิดเมืองนอนมาเป็นทาสฝรั่งผิวขาวอีกทีหนึ่ง ซึ่งนานวันเช้าทาสเหล่านี้ก็นับถือศาสนาคริสต์ตามนายของตน แม้ได้รับอิสรภาพแล้วก็ยังศรัทธาในคริสตศาสนาเช่นเดิม
นอกจากอินเดียนแดง ฝรั่ง และกลุ่มทาสผิวดำในอดีต ผู้อพยพที่เข้ามาตั้งรกรากในอเมริกายังมีชาวเอเซีย โดยเฉพาะอย่างยิ่งชาวจีน ชาวจีนกลุ่มแรกอพยพมาสู่อเมริกาในปี ค.ศ. 1820 เพื่อมาเป็นแรงงานยุคตื่นทองที่แคลิฟอร์เนีย นอกจากชาวจีนแล้วยังมีกลุ่มฮิสแปนิก แต่ที่แห่กันมามากสุดคือ เม็กซิกัน เพื่อนบ้านใกล้เรือนเคียงของลุงแซมนั่นเอง ช่วงที่เยอรมันยุคฮิตเลอร์ปราบปรามยิวในยุโรป ทำให้ชาวยิวอพยพเข้ามาอาศัยบนแผ่นดินนี้ด้วยเช่นกัน
ที่ร่ายยาวมาทั้งหมดนี้เพราะล้วนแต่เกี่ยวข้องสัมพันธ์กันทั้งสิ้น อเมริกาจึงกลายเป็นหม้อต้มจับฉ่ายใบโตข้นคลั่กด้วยความหลากหลายของเชื้อชาติศาสนา ผู้อพยพเหล่านี้นำความเชื่อและศาสนาของตนเองมาด้วย ดังนั้น จึงมีวัด โบสถ์ และสถานที่สำหรับปฏิบัติศาสนกิจเป็นพันๆ แห่งกระจายตัวทั่วประเทศ แต่ละศาสนาแต่ละความเชื่อต่างมีช่วงเวลาเฉลิมฉลองแตกต่างกันไปในแบบของตน
แต่ในช่วงเดือนธันวาคมนี่แหละที่กลายเป็นปัญหาขึ้นมา เพราะเป็นช่วงการฉลองเทศกาลสำคัญของสองศาสนาในเวลาเดียวกัน สมัยก่อนเมื่อถึงเทศกาลคริสต์มาส อเมริกันจะอวยพรกันเหมือนคนทั้งโลกคือ “เมอร์รี่ คริสต์มาส” แต่ชาวยิวในอเมริกาก็ฉลองเทศกาล “ฮานุกก้า” ช่วงเดียวกับคริสต์มาส เพื่อความเท่าเทียมและความเสมอภาค ลุงแซมเลยคิดค้นคำใหม่มาเรียกเทศกาลแห่งความสุขแบบเหมารวมว่า “แฮปปี้ ฮอลิเดย์” เวลาไปซื้อของตามห้างร้าน คนขายจะไม่พูดคำว่า “เมอร์รี่ คริสต์มาส” แต่ละเลี่ยงไปใช้คำว่า “แฮปปี้ ฮอลิเดย์” แทน
คริสต์มาสเป็นคำทับศัพท์จากภาษาอังกฤษ คือ Christmas มาจากคำภาษาอังกฤษโบราณว่า Christes Maesse แปลว่า “บูชามิสซาของพระคริสตเจ้า” คำว่า “Christes Maesse” พบครั้งแรกในเอกสารโบราณเป็นภาษาอังกฤษจารึกขึ้นในปี ค.ศ. 1038
เทศกาลนี้เป็นการเฉลิมฉลองการประสูติของพระเยซู โดยเชื่อกันว่าตรงกับวันที่ 25 ธันวาคมของทุกปี ในประวัติศาสตร์ระบุไว้ว่าพระองค์ทรงประสูติที่เมืองเบธเลเฮมและเติบโตในเมืองนาซาเรธ อันเป็นประเทศอิสราเอลในปัจจุบัน
องค์ประกอบของการเฉลิมฉลองคือมีการมอบของขวัญ ร้องเพลงคริสต์มาสร่วมกัน ช่วยกันตกแต่งโบสถ์และบ้านด้วยต้นคริสต์มาสและฉากการประสูติของพระเยซู นอกจากนี้ยังประดับพวงมาลัยที่ทำมาจากใบสนและและฮอลลี บางบ้านก็มีการแขวนช่อมิสเซิลโทไว้ในบ้าน การใช้สีโทนนี้ถือเป็นการใช้สีในเชิงสัญลักษณ์ สีแดงถือเป็นสัญลักษณ์ของพระโลหิตของพระเยซู ส่วนสีเขียวเป็นสัญลักษณ์ของชีวิตนิรันดร์ เป็นสีของต้นไม้ที่ไม่ผลัดใบและเขียวสดชั่วกาลนาน เพราะในฤดูหนาว ต้นไม้ทุกต้นในเขตหนาวจะผลัดใบและร่วงจนหมดต้นยกเว้นต้นสน ซึ่งจะยังคงความเขียวสดตลอดปี จึงถูกนำมาเป็นสัญลักษณ์ในเทศกาลนี้ด้วย
ในห้วงยามแห่งการเฉลิมฉลองคริสต์มาส สิ่งหนึ่งที่ขาดไม่ได้ในเทศกาลคือชายร่างอ้วนสวมชุดสีแดงงหนาวเครายาวสีขาวหัวเราะแบบใจดีว่า “โฮๆๆ” อย่างที่เห็นในการ์ดและตามภาพยนตร์ เชื่อกันว่าซานตาครอสอาศัยอยู่ที่ขั้วโลกเหนือ
หน้าที่ของซานตาครอสคือจะรอจดหมายจากทั่วโลกเพื่อที่จะนำของขวัญไปแจกให้เด็กๆ ในช่วงคืนวันก่อนคริสต์มาส โดยขี่เลื่อนที่ลากโดยกวางเรนเดียร์ไปตามบ้านทุกหลัง จากนั้นก็จะปีนลงไปหย่อนของขวัญเหล่านั้นทางปล่องไฟ โดยเด็กๆ จะวางคุ้กกี้และนมหนึ่งแก้วไว้ให้ซานตาครอสเพื่อแทนคำขอบคุณ เชื่อกันว่าหากเด็กคนไหนเป็นเด็กดีจะได้รับของขวัญที่พึงใจ แต่เด็กคนไหนเป็นเด็กเกเร ซานตาครอสจะให้ถ่านดำๆ เป็นของขวัญ โดยหย่อนเอาไว้ในถุงเท้าที่แขวนไว้เหนือเตาผิงซานตาคลอส
นอกจากมอบของขวัญให้กันและกันแล้ว วันนี้ยังถือเป็นวันครอบครัว สมาชิกในครอบครัวจะมาร่วมฉลองกันในวันคริสต์มาสอีฟหรือในวันคริสมาสต์ โดยมีการตระเตรียมอาหารมื้อใหญ่ตามประเพณี ทุกคนกินดื่มและเล่นเกมส์ร่วมกันตลอดวันทั้งครอบครัว เครื่องดื่มยอดนิยมคือเอ้กน้อคซึ่งคือนมผสมไข่และเหล้า อันถือเป็นเครื่องดื่มเฉพาะในเทศกาลนี้
ในช่วงเทศกาลขอบคุณพระเจ้า อเมริกันจะอบไก่งวงกินกันอย่างเอร็ดอร่อย แต่ในช่วงคริสต์มาสนี้ พระเอกคือแฮม ทุกบ้านจะอบแฮมกินกันทั้งในวันก่อนคริสต์มาสและวันคริสต์มาส
ในขณะที่ชาวคริสต์ตกแต่งบ้านเรือนด้วยสีแดงและสีเขียว ชาวยิวในอเมริกาก็ตกแต่งบ้านเรือนด้วยสีน้ำเงินและขาว อันเป็นสีประจำชาติอิสราเอล เพราะช่วงนี้คือเทศกาลที่เรียกว่า “ฮานุกก้า” หรือ Hanukkah ฮานุกก้าคือเทศกาลแห่งแสงไฟของชาวยิว ซึ่งมีขึ้นในช่วงกลางฤดูหนาวของทุกปี โดยมีช่วงเวลาของการเฉลิมฉลองยาวนานถึง 8 วันติดต่อกันสำหรับชาวยิวที่อาศัยอยู่นอกประเทศอิสราเอล ส่วนที่ประเทศอิสราเอลเองนั้น Hanukkah หรือ festival of lights จะฉลองกันนาน 1 อาทิตย์พอดี
จะว่าไปแล้วเทศกาลฮานุกก้าของชาวยิวนั้นจะใกล้กับวันคริสต์มาสของทุกปีหรือในบางปีตรงหรือคาบเกี่ยวกัน ด้วยเหตุนี้หลายๆคนจึงมักจะเรียกเทศกาลนี้ว่าเป็นวันคริสต์มาสของชาวยิว ซึ่งจริงๆ ไม่มีอะไรเกี่ยวพันกับความเชื่อของชาวคริสต์เลยด้วยซ้ำ
เมื่อ 2000 ปีก่อน ชาวยิวไม่ได้มีกษัตริย์ของตนเอง หากแต่ถูกปกครองด้วยกษัตริย์ชาวซีเรียชื่อ อันติโอคัส ซึ่งพยายามทำทุกทางที่จะลดทอนและทำลายศาสนาของชาวยิว หักหาญน้ำใจด้วยการบุกเข้าไปในวิหารของชาวยิวเพื่อใช้ประโยชน์ในศาสนาของตนเอง มิหนำซ้ำยังสร้างเทวรูปของชาวกรีกในวิหารของชาวยิว แล้วออกคำสั่งให้ชาวยิวนมัสการรูปเคารพกรีกเหล่านั้น หากขัดขืนและไม่ทำตามคำสั่งก็จะฆ่าเสีย
แม้ว่าทุกคนไม่พอใจแต่หวาดกลัวต่อกฎของอันดิโอคัส แต่มีชาวยิวครอบครัวหนึ่งชื่อแมคคาบีที่ไม่ยอมแสดงความเคารพต่อเทวรูปของชาวกรีก แมคคาบีจึงกลายมาเป็นผู้นำของกองทัพชาวยิวในการต่อสู้กษัตริย์อันติโอคัส ผลคือแม้ว่าชาวยิวจะได้วิหารกลับคืนมา แต่ดวงประทีปซึ่งเป็นตะเกียงที่ชาวยิวเชื่อว่าคือ “แสงสว่างชั่วนิรันดร์” นั้นได้ดับลงแล้ว ชาวยิวจึงช่วยกันได้จุดดวงประทีปนั้นขึ้นมาอีกครั้ง แต่ก็เหลือน้ำมันเพียงพอแค่หนี่งวัน กลับกลายเป็นว่าน้ำมันอันน้อยนิดนั้นกลับทำให้ดวงประทีปส่องสว่างยาวนานถึง 8 วัน
ชาวยิวจึงจุดเทียน 8 เล่มปักบนเชิงเทียนที่เรียกว่ามะโนร่าห์หรือ Menorah ในเทศกาลนี้เพื่อระลึกถึงปาฏิหาริย์แห่งแสงสว่างที่เกิดขึ้นต่อเนื่องยาวนานถึง 8 วัน และเสมือนเป็นสัญญลักษณ์แห่งชัยชนะของผู้ศรัทธาที่ไม่ยอมอยู่ใต้อาณัติจักวรรดินิยมกรีก จึงเป็นที่มาของการเฉลิมฉลองเทศกาลวันฮานุกก้าติดต่อกันยาวนานเป็นระยะเวลา 8 วัน
เทศกาลฮานุกก้าจึงเป็นเทศกาลแห่งแสงสว่างที่ส่องประกายขับไล่ความมืดและความสิ้นหวังในช่วงถูกลดทอนให้อ่อนกำลังทางศาสนาของชาวยิว ดังนั้นเมื่อถึงเทศกาลนี้จึงมีการรวมครอบครัวเพื่อรับประทานอาหารมื้อพิเศษด้วยกัน โดยมีการจุดเทียนบนเชิงเทียนที่แตกเป็นแขนง 8 แขนงหรือมะโนร่าห์ไว้ที่ริมหน้าต่าง เด็กๆ จะสนุกสนานกันมาก เพราะจะได้ของขวัญทุกวันเป็นเวลา 8 วัน
อาหารที่ทำรับประทานกันในครอบครัวที่ขาดไม่ได้คือแพนเค้กที่ทำจากมันฝรั่งนำมาผสมเครื่องเทศต่างๆ แล้วทอดให้เกรียมกรอบ ชาวยิวมีความเชื่อคล้ายมุสลิมคือ ไม่กินหมู มีการแจกช็อคโกแลตเป็นรูปเหรียญทองและมีการเล่นลูกข่างที่มีอักขระภาษาฮีบรูเพื่อเป็นสัญลักษณ์แห่งการฉลองเทศกาล
ร้านอาหารฝรั่งทุกร้านปิดหมดในช่วงคริสต์มาส ร้านอาหารที่เปิดในวันนี้ก็จะมีแต่ร้านอาหารจีนหรือร้านอาหารอินเดีย ชาวยิวในอเมริกาจึงมักออกไปรับประทานอาหารจีนกันทั้งครอบครัว หรือคนอมริกันที่ไม่ได้กลับบ้านก็มักออกไปรับประทานอาหารจีนด้วย เพราะไม่มีตัวเลือก เนื่องจากร้านรวงและภัตตาคารของฝรั่งปิดหมดนั่นเอง
ค่ำคืนแห่งเทศกาลดำเนินไปท่ามหิมะพร่างพรมอย่างอ่อนโยน บรรยากาศศักดิ์สิทธิ์กระจายตัวไปในค่ำคืนอันสงัด ทั่วประเทศเต็มด้วยความสุขแห่งการเฉลิมฉลอง แสงสีทองวาบวับจากดวงดาวบนยอดต้นคริสต์มาสทอประกายสีทองในประกายตาชาวคริสต์ ในขณะที่แสงเทียนจากเทียนทั้งแปดเล่มก็เต้นระยิบอยู่ในหัวใจของชาวยิวทั่วอเมริกา
Happy Holidays.. ขอให้มีความสุขในวาระอันเป็นมงคลนี้ทุกท่านค่ะ
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี