ในยุคที่ “สื่อมวลชน” มีช่องทางการสื่อสารแค่ 3 ช่องทางหลัก คือ หนังสือพิมพ์ วิทยุ และโทรทัศน์ นั้น “โดยภาพรวม” ถือได้ว่ามีคุณภาพ มีจรรยาบรรณและมีจริยธรรม แม้จะมี “พวกกาฝาก - พวกหากินตามน้ำ” อยู่บ้าง ก็ถือว่าเป็นเรื่องธรรมดาของคนในทุกวงการอาชีพ
ไม่เว้นแม้กระทั่งวงการอาชีพที่ต้องมีจริยธรรมสูงยิ่งอย่างวงการแพทย์ วงการการศึกษา และวงการสงฆ์
อาจเป็นเพราะยุคนั้นสมาคมวิชาชีพสื่อมวลชนยังเข้มแข็ง บุคลาการในวงการสื่อมวลชนมีไม่มาก จึงดูแลกันง่าย และบุคลากรก็มีสำนึกในวิชาชีพของตน รวมทั้งยังมีช่องทางสื่อสารไม่มากอย่างทุกวันนี้
ทุกวันนี้ช่องทางการสื่อสารมีมากเหลือคณานับ จำนวนบุคลากรในวงการสื่อก็มีมหาศาล ยากแก่การดูแล แม้กระทั่งตามจับตามแก้ปัญหา บางครั้งบางหนสมาคมวิชาชีพสื่อจับได้ไล่ทันก็ทำอะไรไม่ได้ เพราะสื่อมวลชนบางสำนักใหญ่กว่าสมาคมวิชาชีพสื่อฯ!
แย่กว่านั้น เมื่อโลกออนไลน์เปิดกว้างใครก็ทำหน้าที่สื่อได้ จึงมี “สำนักสื่อ” เยอะมาก จำชื่อไม่หวาดไม่ไหว ต่างก็เสนอข่าวสารพัด จริงบ้าง เท็จบ้าง มั่วบ้าง และดูเหมือนว่าไม่มีใครทำอะไรใครได้
เพราะมันเป็นเสรีภาพของพลเมือง
ผมเห็นด้วยว่าพลเมืองทุกคนควรมีสิทธิ์ – มีเสียง มีเสรีภาพที่จะแสดงความคิดเห็น แต่ไม่เห็นด้วยที่จะแสดงความคิดเห็นโดยไม่รับผิดชอบต่อ “สาร” ที่สื่อออกไป ซึ่งก็คือการไม่รับผิดชอบต่อคนเสพหรือสังคม
ยิ่งในช่วง 10 กว่าปีมานี้ กระแสการเมืองร้อนแรงจนขนาดเผาบ้านเผาเมืองและเข่นฆ่าทำลายล้างกัน สื่อมวลชนก็ยิ่งไม่คำนึงความรับผิดชอบใดๆ ตั้งหน้าตั้งตาแต่จะหาคนเป็นฝ่ายตนและทำลายฝ่ายตรงข้าม สารที่สื่อออกไปจึงเป็นเรื่องปั้นน้ำเป็นตัว ยกเมฆ ใส่ร้ายป้ายสีฝ่ายตรงข้ามเสียส่วนมาก
ซึ่งก็มีด้วยกันทั้ง 2 ฝ่าย
ทั้งฝ่ายที่เรียกกันว่า “อนุรักษนิยม” และฝ่ายที่เรียกกันว่า “ก้าวหน้า” (คอมมิวนิสต์ – ลิเบอรัล)
จึงเป็นการตอกลิ่มในสังคมไทยให้แตกแยกมากขึ้น ซึ่งก็เข้าทางของฝ่ายที่ต้องการให้สังคมแตกแยกอยู่แล้วอย่างน่าเสียดาย
เพราะถ้าสังคมไทยไม่แตกแยกก็ยากที่ “ประเทศจะวิกฤติหรือเป็นรัฐล้มเหลว”
เมื่อประเทศไม่วิกฤติหรือรัฐไม่ล้มเหลว ก็ยากที่ฝ่ายใดจะเปลี่ยนแปลงระบบการปกครองให้ได้อย่างใจตน
สภาพสังคมไทยจึงขึ้นอยู่กับสำนึกความรับผิดชอบของคนในวงการสื่อ เพราะสารที่สื่อนั้นมีอิทธิพลต่อความเชื่อของพลเมืองทั้งประเทศ ยิ่งชาวบ้านร้านตลาด (รวมทั้งผมด้วย) เคยนับถือสื่อมวลชนเป็นสิ่งที่ “ถูกต้อง” มาตลอดนั้น เมื่อเข้าร่วมในสังคมออนไลน์ก็ยังคงเชื่อแบบเดิม จึงไม่ต้องคิด - ไม่ต้องพิจารณาว่าสารที่ตนเองรับรู้นั้นจริงเท็จอย่างไร
แย่กว่านั้นอ่านแค่พาดหัวข่าว!
ส่วนการพาดหัวข่าวของสื่อบางสำนัก (ที่จริงหลายสำนัก – หลายสื่อ) ก็ลวงล่อหรือ “แปลงสาร” ให้คนเสพสื่อเข้าใจผิด ส่วนคนเสพสื่อก็รีบเชื่อทันที ตามมาด้วยการแสดงความเห็น (คอมเม็นต์) ซึ่งก็ไม่มีอะไรมากไปกว่า ด่า!
กลายเป็นสังคมแบบรู้น้อย แต่ความเห็นเยอะ
รู้เท็จ แต่หลงว่าเข้าใจรู้จริง
ผมไม่เรียกร้องอะไรจากสื่อมวลชน เพราะเรียกร้องไปก็ไร้ประโยชน์ หากสื่อมวลชนต้องการจะมีจรรยาบรรณ มีจริยธรรม มีสำนึกรับผิดชอบ ก็ย่อมมีเองและมีมาก่อนที่จะทำหน้าที่สื่อมวลชนแล้ว
ทุกวันนี้ ผมก็แค่นึกขอเอาจากฟ้าดินว่า ขอให้ได้เสพสื่อที่มีคุณภาพ...ส่วนที่เป็นข่าวสารก็ขอให้ตรงประเด็นและตรงไปตรงมา ส่วนที่เป็นความเห็นก็ขอให้มีเหตุผลสนับสนุน เป็นสัมมาทิฎฐิ ไม่ว่าจะเป็นสื่อในฝ่ายใดทั้งนั้น
ขอให้มีสื่อที่วางใจได้ เสพแล้วรู้เท่าทันโลก สติปัญญางอกงาม
ไม่ใช่สื่อที่แบ่งฝ่าย ตั้งหน้าตั้งตาแต่จะทำสงครามสื่อกันอย่างบ้าคลั่ง และปั่นหัวผู้คนให้โง่งมลงทุกวัน
สื่อแบบนี้มีแต่ทำลายผู้คนและสังคมให้เสื่อมทราม
มันเป็นสื่อบัดซบ !! (ขออภัยสื่อที่ดีครับ)
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี