เราเคยเห็นเสมอมาว่า “เมื่อคนมีอำนาจก็มักจะเสพติดอำนาจ” เพราะอำนาจนั้นทำให้คนรู้สึกว่าตนเองยิ่งใหญ่เหนือผืนฟ้าเหนือปฐพี คิดหรือทำอะไรก็มีคนคอยรองมือรองตีนรับใช้ อยากได้อะไรก็มีคนคอยจัดหา - จัดให้ดั่งใจหวัง แค่ลมหายใจเข้าออกก็แทบจะมีคนคอยประคองให้แล้ว เรียกได้ว่า “ยิ่งมีอำนาจมากก็ยิ่งมีเสรีภาพที่จะสนองความอยากคนตนได้มาก”
โดยลืมไปว่า มันคือ “เสรีภาพของตัณหา”
ไม่ใช่ “เสรีภาพของปัญญา”
ผมจึงไม่แปลกใจที่สมเด็จพระนโรดมสีหนุได้เขียนไว้ในหนังสืออัตชีวประวัติว่า “อำนาจนั้นให้ความกระสันถึงขีดสุดยิ่งกว่าการเสพกามารมณ์”
พูดกลับกันก็ว่า “ความอยากจะเสพกามารมณ์หรือกามคุณ 5 ให้มากที่สุด เหนือคนอื่นๆมากที่สุด ทำให้คนอยากมีอำนาจมากที่สุด เพราะเมื่อมีอำนาจแล้วย่อมมีเสรีภาพที่จะทำอะไรก็ได้”
เราจึงเห็นกันอยู่ทุกวันว่าใน “แวดวงการเมือง – การปกครอง” ไม่เว้นแม้กระทั่งในแวดวงอันธพาลนั้นมีคนจำนวนมหาศาลที่ทะเยอทะยานอยากมีอำนาจ และวิธีที่พวกเขาจะได้อำนาจมาครองนั้นก็มักจะไม่สนใจระบบจริยธรรมหรือคุณธรรมใดๆ เพราะอำนาจโดยตัวมันเองมันเป็นความหลงผิดและก็มักจะชั่วร้ายหรือนำความชั่วร้ายมาสู่คนเสมอ
มีคนจำนวนมากที่ยังไม่มีอำนาจ และมีความตั้งใจดีที่จะมีอำนาจ เพื่อจะได้ใช้อำนาจนั้นจัดการกับปัญหาสารพัดที่มีอยู่ในสังคม และพัฒนาประเทศชาติให้เจริญรุ่งเรือง พลเมืองอยู่ดีมีสุข สังคมปลอดภัยและมีสันติสุข เรียกว่า “เป็นคนมีอุดมการณ์” เพื่อส่วนรวม แต่เมื่อเขามีอำนาจเข้าจริง สิ่งที่เขาทำนั้นก็ค่อยเบี่ยงเบนออกไปจากความตั้งใจดีของตนทุกที
อุดมการณ์ของเขาค่อยถูกขัดเกลาด้วยอามิสสินจ้าง เงินทอน ผลประโยชน์และลิ้นของคนใกล้ชิดที่ต้องการอาศัยอำนาจของเขากอบโกงผลประโยชน์ใส่ตน
อำนาจเป็นทุกอย่าง...มันโรยกลีบกุหลาบเป็นพรมให้เขาเดิน สีสันเพริศแพร้วพรรณราย และอบอวลด้วยกลิ่นหอมละมุน เขาเริ่มชอบมัน ติดมัน ต่อมาก็หลงมัน จนลืมเลือนอุดมการณ์ไป
เมื่อไม่มีผลงาน หรือผลงานไม่ได้เป็นไปอย่างที่ตนเคยประกาศไว้ พลเมืองก็แสดงความไม่พอใจ ตามมาด้วยเสียงเรียกร้องและวิพากษ์วิจารณ์ เขาโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยง และเถียงแถว่าเขาได้ทำตามอุมการณ์ไปแล้วและกำลังทำอยู่ อีกไม่นานทุกคนจะเห็นประจักษ์แก่ตาตน
แต่ “อีกไม่นาน” ของเขาก็ยังคงอีกไม่นานต่อไป พลเมืองหมดความเชื่อถือและไว้วางใจเขา เขารู้ว่ากำลังจะสูญเสียอำนาจที่ตนมีอยู่ จึงดิ้นรนทุกวิธีที่จะครองอำนาจอยู่ต่อไป เขาเริ่มเห็นคนที่วิพากษ์วิจารณ์เขา ไม่เห็นด้วยกับเขาเป็นศัตรู และยิ่งอยากจะอาชนะคนพวกนี้มากขึ้น ซึ่งการด่ากลับนั้นไม่เพียงพอ แต่ต้องมีอำนาจต่อไปด้วย
และแล้ว...กระบวนการสืบทอดอำนาจก็เริ่มขึ้น วิธีการต่างๆที่ทั้งถูกต้องตามกฎหมายและเลี่ยงกฎหมายก็ถูกนำมาใช้ ระบบจริยธรรมและคุณธรรม (ที่ทำให้มนุษย์เหนือกว่าสัตว์) ถูกละเลยหรือไม่แยแส โดยแถไปว่า “การทำประโยชน์แก่ประเทศชาติและประชนชนนั้นมีคุณค่าและยิ่งใหญ่กว่า...”
และตนจะทำได้ก็ต่อเมื่อมีอำนาจต่อไป!
จึงต้องสืบทอดหรือยึดอำนาจต่อไปอีก
นักการเมืองไม่ว่าจะมาจากหีบเลือกตั้งหรือแต่งตั้งตัวเองด้วยการยึดอำนาจก็เป็นเหมือนๆกันหมด
คือ...ก่อนจะมีอำนาจก็คิดว่าเมื่อตนมีอำนาจแล้ว จะใช้อำนาจนั้นให้เป็นประโยชน์แก่ประชาชนและประเทศชาติ แต่เมื่อมีอำนาจเข้าจริงเขาก็ถูกอำนาจกล่อมให้หลงวนอยู่กับมัน และต้องการจะอยู่ครองอำนาจต่อไปตราบชั่วฟ้าดินสลาย
ตลอดประวัติศาสตร์ของ “คนกับอำนาจ” ไม่เคยมีสักครั้งที่อำนาจจะไม่เปลี่ยนคน
และก็ไม่เคยมีสักครั้งที่คนกระสันอำนาจจะไม่ใช้พลเมืองเป็นเหยื่อ – เป็นเครื่องมือ เพื่อขึ้นสู่อำนาจ – ครองอำนาจ – สืบทอดอำนาจ
ที่น่าแปลกใจก็คือ “พลเมือง” ก็ไม่สำเหนียก ไม่เคยสนใจว่าตนถูกใช้เป็นเครื่องมือ – เป็นเหยื่อ ทุกวันนี้ก็ยังมีคนครึ่งค่อนประเทศตามแห่แหนนักการเมืองที่ตนชื่นชมหรือเชื่อมั่นว่าเขาจะนำความอยู่ดี กินดี มีสุขมาให้!
ก็คงมีบ้างละครับ โดยเฉพาะพวกหัวคะแนนตัวใหญ่ๆ
ส่วนตัวเล็กๆก็แห่แหนและก่นด่าทำลายล้างฝ่ายตรงกันต่อไป
นักวิชาการหลายคนประกาศว่า “ระบอบประชาธิปไตยจะทำให้ประชาชนเข้มแข็ง รู้ทันนักการเมืองในที่สุด”
แต่เกือบศตวรรษมาแล้ว...นับแต่มีการเปลี่ยนแปลงการปกครองตั้งแต่ปี พ.ศ. 2475 ประชาชนเข้มแข็งและรู้ทันนักการเมืองหรือยัง?
หรือว่าถูกนักการเมืองทำให้อ่อนแอลงทุกวัน และทำลายกันเองจนไม่เหลือกำลังจะไปต่อรองอะไรกับนักการเมืองได้อีกแล้ว?
ได้แต่รอ “โอยทาน” ?
คนที่ครองอำนาจอยู่ได้ ไม่ใช่เพราะอาวุธและกฎหมายที่เขามี แต่เพราะพลเมืองอ่อนแอและยินยอมเขาต่างหาก.
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี