พังเดือน ลูกทีมเถ่าชิ่วสุทัศน์ แห่งคอลัมน์ตู้กับข้าว เปิดบันทึกเรื่องกินเมื่อไปเที่ยวเมืองรอง จังหวัดสกลนคร ซึ่งจัดอยู่ในกลุ่ม สามจังหวัดสนุก คือ สกลนคร นครพนม และมุกดาหาร คำว่า “สนุก” เป็นการนำพยัญชนะและสระของแต่ละจังหวัดมาประกอบกันคือ ส.เสือ มาจากสกลนคร น.หนู มาจากนครพนม สระอุ และ ก.ไก่มาจาก มุกดาหาร “เที่ยวสนุก สุข...งาม...สามจังหวัด”
ตึกโบราณอายุมากกว่า 100 ปี
เอ่ยถึงจังหวัดสกลนคร อำเภอท่าแร่ อดีตที่มีภาพฝังใจของใครหลายคนจะนึกถึงการบริโภคเนื้อสุนัข แต่ที่เราได้มาพบด้วยตนเอง ท่าแร่มีโบสถ์คาทอลิกสวยงาม “อาสนวิหารอัครเทวดามีคาแอล” ที่ใช้ประกอบพิธีการทางศาสนา ซึ่งสร้างจากความศรัทธาของผู้คนในหมู่บ้าน เป็นชุมชนชาวคริสต์ที่มีประชากรนับถือศาสนาคริสต์มากที่สุดในประเทศไทย มีตึกเก่าทรงยุโรปในรูปแบบสถาปัตยกรรมฝรั่งเศสผสมเวียดนาม ที่นักท่องเที่ยวเมื่อมาท่าแร่ต้องใช้เป็นจุดเชคอิน และมีผู้คนอัธยาศัยใจดี ต้อนรับนักท่องเที่ยวอย่างยินดี ภาพในอดีตแบบนั้นไม่มีอยู่ในหัวพวกเราเลย
ไข่กะทะ
อาหารมื้อแรกของวันที่อำเภอท่าแร่ เป็น สุกี้โบราณ ไข่กระทะ คือไข่ดาวโปะหน้าด้วยหมูสับ หมูยอ มาในกระทะใบน้อยๆ เหยาะแม๊กกี้พริกไทยและ พิซซ่าข้าวจี่ นึกสงสัยทำไมอาหารเวียดนามจึงเป็นที่นิยม จนทราบว่าชุมชนอำเภอท่าแร่ดั้งเดิม อพยพมาจากเวียดนามนั่นเอง
สุกี้แห้ง
สุกี้แห้งที่ยกมาเรานึกอยากให้แม่ครัวใช้ไฟผัดแรงๆ แบบลงกระทะได้ยินเสียงฉ่า เคาะกระทะดังๆตามร้านอาหารจีนที่เคยเห็น น้ำจิ้มสุกี้ใช้เต้าหู้ยี้เพื่อนว่ามันหวานนำ แต่เราชอบติดนิดเดียว ถ้ามีกลิ่นไหม้ของการผัด น่าจะเพิ่มรสชาติอาหารจานนี้ยิ่งขึ้น
ข้าวเปียกเส้น
ข้าวเปียกเส้น บ้างก็เรียกก๋วยจั๊บเวียดนาม เป็นเส้นก๋วยเตี๋ยวคล้ายๆ เส้นเล็กแต่เส้นดูใสกว่า กลมกว่าและเหนียวกว่า น้ำซุปอร่อย แต่เผลอเดี๋ยวเดียวเส้นอืด น้ำซุปแห้งหมดชามหรือเพื่อนๆแอบซดน้ำซุปจนแห้งก็ไม่แน่ใจ
พิซซ่าข้าวจี่
พิซซ่าข้าวจี่นี้ แม่ครัวเปิดเผยว่าใช้ข้าวผสมไข่และแป้งลงไปทอดแบบไข่เจียว โรยหน้าด้วยหมูสับ ปูอัดและบาโลน่า แต่เราเดาว่าไฟไม่แรง ตัวแป้งข้าวจี่จึงนิ่มเหมือนอมน้ำมัน ถ้าทอดให้กรอบคงจะอร่อยกว่านี้ แต่ด้วยบรรยากาศของการกินอาหารในตึกเก่าสไตล์ฝรั่งเศส ช่วยเพิ่มรสชาติทำให้หมดทั้ง 4 จาโดยไม่รู้ตัว
แม่ครัวบรรจงทอดแป้งข้าวจี่
จบจากอาหารมื้อเช้า เราคุยกันว่า อยากลองชิม เนื้อวัว เพราะสกลนครเป็นแหล่งเนื้อโคขุนโพนยางคำ โคขุนโพนยางคำ เป็นเนื้อโคคุณภาพสูงจากหมู่บ้านโพนยางคำ ตำบลโนนหอม อำเภอเมือง จังหวัดสกลนคร เป็นโคเนื้อลูกผสมไทย-ฝรั่งเศส (วัวเนื้อพันธุ์ชาร์โรเล่ส์ Charolaisกับพันธุ์พื้นเมืองไทย จนประสบความสำเร็จได้เป็นสายพันธุ์วัวเนื้อชั้นดี) โดยมีการจัดตั้งเป็นสหกรณ์โพนยางคำตามชื่อหมู่บ้านขึ้นตั้งแต่ปี พ.ศ. 2523 ปัจจุบันได้รับความนิยมอย่างมากจากทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศ แม้จะมีราคาสูงกว่าเนื้อโคทั่วไป เพราะคุณภาพเนื้อที่ดีกว่าจนเทียบไม่ได้ หากจะเทียบกับเนื้อนอกคุณภาพสู้ได้ในราคาที่ถูกกว่าครึ่งต่อครึ่ง
มันแทรกเป็นลายหินอ่อน
หลังเที่ยงสักเล็กน้อย เมื่อจบภารกิจศรัทธาธรรม ที่วัดถ้ำผาแด่น จุดหมายต่อไป คือการชิมเนื้อโคขุนโพนยางคำ เราเลือกร้าน @เตาถ่าน โคขุนโพนยางคำ สกลนคร เราสั่งชุดรวมหมูเพราะมีสมาชิก 2 คนไม่กินเนื้อ และชุดรวมเนื้อ ครั้งแรกสมาชิกจะสั่งเนื้อ+ทะเล แต่มีผู้แย้งว่าเรามาอีสานห่างทะเลตั้งไกลโพ้น อยู่ในถิ่นโคขุนทั้งทีต้องจัดหนักเนื้อ ชุดเนื้อและหมูที่ยกมาคนกลัวอ้วนหมดสิทธิ์ เพราะทุกจานจะหั่นติดมันโดยเฉพาะเนื้อ มีส่วนที่เป็นมันแทรก คล้ายเนื้อวากิวของญี่ปุ่นแสนแพงราคาต่างกันลิบลับ การชำแหละเนื้อแต่ละส่วนมีชื่อเรียกแตกต่างกันไป เช่น หนอก สันใน สันนอก สันกลาง หางตะเข้ ลูกมะพร้าว ซึ่งแต่ละส่วนละม้ายคล้ายชื่อเรียกโดยไม่ต้องใช้จิตนาการมากเลย แบบ หางตะเข้ ใบพาย ไอ้ช่อน เป็นต้น ที่เป็นที่สงสัยของใครหลายๆคน ถึงเนื้อเสือร้องไห้ บ้างก็ว่า มันเหนียวมากขนาดเสือกินยังร้องไห้ แต่อีกเสียงก็ว่าเป็นเนื้อติดมันที่เมื่อถูกไฟกลิ่นหอมหวนจนเสือต้องร้องไห้ที่ไม่ได้กิน(อันนี้คงย่างในป่า) หรืออร่อยมากจนเสือกินแล้วไม่อยากให้หมดจนต้องร้องไห้
โคขุนพันธุ์ชาร์โรเล่ส์ (Charolais)
เนื้อย่างได้อร่อยไม่มีความเหนียว เพราะการชำแหละอย่างถูกหลักและการบ่มเนื้อแบบถูกวิธีตามแบบฝรั่งเศส อีกทั้งการแล่บางขวางลายเนื้อจึงนุ่มแทบละลายในปาก เขาบอกว่าเนื้อดีๆ เพียงแค่โรยเกลือพริกไทยย่างกินแบบธรรมชาติก็สุดอร่อยแล้ว เพียงแต่มีน้ำจิ้มที่เราไม่คุ้นลิ้นเนื่องจากใส่ดีวัวมาด้วยทำให้มีรสขมปร่า แถมด้วยส้มตำปลาร้า และตำแตงปลาร้า ทั้ง 2 ครก ถูกใจพวกเราทุกคน กินเนื้อย่างแกล้มส้มตำปลาร้า ยินดีปรีดากันถ้วนทั่วทุกคน
กว่าจะอิ่มจากมื้อกลางวันตกบ่ายโข เรากลับไปตั้งหลักที่โรงแรม เย็นนี้จะไปเดินถนนคนเดินข้างวัดพระธาตุเชิงชุม หาของกินมื้อเย็น ตกค่ำ พวกเราพร้อมใจกันเดินไปถนนคนเดิน ดูจากแผนที่แล้วไม่ไกลนัก กิโลเมตรกว่าๆ อากาศเย็นสบาย รถรามีน้อยรวมถึงผู้คนไม่จอแจเดินได้สบายๆไม่เปลี่ยว ถนนหนทางที่นี่ดูสะอาดสะอ้าน ไม่รกหูรกตา ผู้คนดูยิ้มแย้มแจ่มใส เห็นพวกเรา 4 คน คงรู้ว่าเป็นคนต่างถิ่น และเราก็พบร้านขายข้าวเกรียบปากหม้อ เป็นรถเข็นข้างทาง เราแวะดู ลูกค้าที่ยืนรอต่อคิวอยู่เป็นการยืนยันว่าคงอร่อยถ้าไม่กินจะเสียใจ คุ้มค่าต่อการรอคอย สอบถามแล้วแม่ค้าปิดร้าน3ทุมครึ่ง เรายังมีเวลา นัดกันแล้วขอไปเดินถนนคนเดิน และขากลับจะแวะมาชิม
ข้าวเกรียบปากหม้อ
ต่อเมื่อตอนเช้ามาถึงสกลนคร เราวางแผนว่าจะไปกิน ข้าวเกรียบปากหม้อปารีส มีร้านอยู่ใกล้ที่พัก แต่มาถึงเร็วเกินไป ร้านยังไม่เปิด ตอนเข้าที่พักเราก็ยังแน่นท้องจากเนื้อโคขุนโพนยางคำ ขากลับระหว่างทางก่อนถึงร้านปากหม้อรถเข็น ผ่านร้านอาหารชวนชิมหลายอย่าง เช่นร้านข้าวผัดแหนม คงเมเจอร์ด้านข้าวผัดจนเอามาตั้งเป็นชื่อร้าน
โรยกระเทียมเจียวหนักๆ กับแบบใส่ไข่ธรรมดา
มาถึงร้านข้าวเกรียบปากหม้อ แม่ค้ายิ้มต้อนรับรอพวกเราอยู่ มากัน 4 คน จะสั่งอย่างไรดี แม่ค้าเลยจัดแบบมาธรรมดา 1 จาน มีข้าวเกรียบให้กินคำโตๆอยู่ 10 ตัวและปากหม้อใส่ไข่ 1ชิ้น แม่ค้าเสนอพิซซ่าเวียดนามหรือข้าวเกรียบปากหม้อ แต่แผ่นแป้งข้าวเกรียบแบบกรอบหมดจะกลับไปเอาที่บ้าน ระหว่างแม่ค้าออกรถไปเอาข้าวเกรียบ พวกเราจัดการปากหม้อทั้ง2 จานหมดในพริบตา แป้งนุ่มอร่อย ยิ่งโรยหอมเจียวใหม่ๆที่มีวางแยกขายหน้าร้านลงไปให้หนักๆ ราดน้ำจิ้มที่คล้ายน้ำจิ้มไก่แต่ใสกว่า มันเข้ากันที่สุด ชะเง้อรอแม่ค้า จะสั่งชุดแบบเมื้อสักครู่อีก1ชุด แม่ค้ากลับมาพร้อมข้าวเกรียบแผ่นใหญ่ประมาณข้าวเกรียบว่าวที่เราเคยเห็นแม่ค้าหาบขายตามงานวัด แต่หนากว่าแป้งกรอบอร่อยกินเปล่าๆ ก็ยังอร่อย
พิซซ่าข้าวจี่
พิซซ่าเวียดนาม ใช้แผ่นข้าวเกรียบงามีแป้งปากหม้อทำใหม่ขนาดเท่าแผ่นข้าวเกรียบโปะด้านหน้าตามด้วย หมูสับ และหมูยอ ที่เป็นไส้ข้าวเกรียบปากหม้อนั่นเอง แม่ค้าบอกต้องนึ่งหมูยอพร้อมแป้งด้วยจึงจะอร่อย วิธีกินต้องอ้าปากกว้างๆ กัดทั้งแผ่นข้าวเกรียบและแป้งปากหม้อที่มีไส้โรยหน้าพร้อมราดหอมเจียวและน้ำจิ้มในคำเดียวกัน อร่อยจริงเหลือเชื่อ พวกเรา 4 คน กินข้าวเกรียบปากหม้อไป 1 จาน 10 ตัว ปากหม้อใส่ไข่อีก 2 จาน แถมพิซซ่าเวียดนามอีกแผ่นใหญ่ และหอมเจียว 5 กระปุก อิ่มจนท้องแทบแตก
เมนูสตรีทฟู๊ด
แต่ไม่วายซื้อแผ่นข้าวเกรียบกลับไปกินเล่นอีก 3 แผ่น ขอแนะนำใครที่ไปสกลนคร ต้องลองไปชิมข้าวเกรียบปากหม้อ รถเข็น อยู่ซอยสุขเกษม 4 ตรงข้ามร้านเลิศรสไข่กระทะ ร้านเปิดช่วงเย็น ไปจนถึง 3-4 ทุ่ม แม่ค้าแย้มยิ้มต้อนรับลูกค้าเป็นอันดี
บัวลอยน้ำขิง
จากร้านข้าวเกรียบแม้ทุกคนบ่นเป็นเสียงเดียวกันว่าอิ่มมาก แต่ไม่วายเมื่อมีคนริชวนไปหาของหวานล้างปาก ก็ไม่มีใครปฏิเสธ ไปร้านบัวลอยที่เราเดินผ่านมาก่อนนั่นเอง อากาศเย็นเมื่อได้ซดน้ำขิงอุ่นๆ คงสบายท้องเป็นแน่ พี่ในทีมสั่งน้ำขิงเปล่าๆ ส่วนที่เหลือสั่ง บัวลอยน้ำขิง และบัวลอย มาแบ่งกันกิน น้ำขิงไม่ใช่น้ำขิงแบบที่เรากินเต้าฮวย มันคือน้ำเชื่อมรสขิงอ่อนๆที่หวานมาก บัวลอยน้ำขิงคือบัวลอยทั่วไปใส่ลงไปในน้ำขิง และบัวลอยน้ำกะทิ คือบัวลอยในน้ำขิงใส่กะทิลงไป แป้งบัวลอยนุ่มยิ่งได้น้ำขิงซดไปเรื่อยๆ พร้อมเคี้ยวเนื้อขิงที่หั่นใส่ก็พอเพลิน ขิงไม่แก่เกินไป กินไปกินมาพอคุ้นก็อร่อยดี ระหว่างทางเดินกลับที่พักก่อนถึงโรงแรมดุสิตที่พักของเรา เห็นป้ายหน้าร้านร้านหนึ่งเขียนว่า หมูยอทอด ลูกชิ้นทอดป้านุ เปิดขายวันอาทิตย์วันเดียว เปิด 9.30 พรุ่งนี้ เป็นวันอาทิตย์พอดี เป็นตายอย่างไรต้องขอลองชิมให้ได้
หมูยอทอด
รุ่งเช้า พวกเรามีนัดกับคณะใหญ่จะเดินทางไปนครพนม ที่ร้านเลิศรสไข่กระทะ เราแยกเป็น 2 กลุ่ม พวกหนึ่งไปคืนรถที่สนามบิน ที่เหลือไปร่วมกับคณะใหญ่ จะไปซื้อหมูยอทอดป้านุที่เปิดขายเฉพาะวันอาทิตย์ เราเป็นลูกค้าคนแรกที่ไปถึงร้าน สั่งหมูยอทอด 10ไม้ สอบถามลูกชิ้นทอด เตรียมใจนึกถึงลูกชิ้นปลาสีแดงที่ผ่าครึ่งแล้วชุบแป้งทอดอย่างที่เคยกินสมัยเด็ก แต่แม่ค้าบอกว่าเป็นลูกชิ้นหมู ส่วนหมูยอทอดมาร้อนๆ แป้งกรอบ น้ำมันที่ทอดมาใหม่ ทีเด็ดอยู่ตรงน้ำจิ้ม ถ้ามื้อเช้ายังไม่ได้กินอาหารเช้าที่โรงแรม เราคงจัดกันไปคนละหลายไม้แน่นอน ขอแนะนำหากได้ไปสกลนครในวันอาทิตย์ ถ้ามื้อเช้าเบื่อพวกไข่กระทะ ข้าวเปียกเส้น ลองชิมหมูยอทอดป้านุ ก็ไม่ผิดกติกาใดๆ แล้วพบกันใหม่ ที่นครพนม และมุกดาหารนะคะ
ปล. อาหารต่างๆที่ได้ไปชิมมา เป็นร้านข้างทางธรรมดา ที่ คนเดินดินกินข้าวแกง เป็นประจำ สามารถลองลิ้มชิมรสได้ทุกมื้อ ทั้งหมดนี้เป็นความคิดเห็นและรสนิยมส่วนตัว ไม่มีแสตนอิน ไม่มีสลิง ใดๆนะคะ
เรื่องและภาพ โดย ดวงเดือน รัตติสุวรรณ
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี