ผมได้เขียนบทความน้อยๆตั้งชื่อว่า "นิยาม" ลงในเฟซบุ๊คว่า...
"ถ้าพี่กูไม่ได้บวช พวกมึงก็ไม่ต้องสอบ" หมายถึง "ความเท่าเทียม"
"เช่าวงดนตรีมาตั้ง 20,000 บาท จะไม่ให้เต้นได้ไง?" หมายถึง "สิทธิและหน้าที่"
การตะลุยเข้าไปพังทรัพย์สิน ทำร้ายผู้คนและลวนลามนักเรียน หมายถึง "เสรีภาพ"
การขอร้องไม่ให้ถ่ายรูป กลัวติดคุกแล้วลูกจะไม่มีคนดูแล หมายถึง "มนุษยธรรม"
ทั้งหมดคือ "สำนึกประชาธิปไตยแบบไทย" ซึ่งในแวดวงการเมืองก็ไม่ต่างกัน.
เขียนแค่นี้ แต่มีคนใน “ฝ่ายประชาธิปไตย” หัวร้อนจนไฟลุก ตั้งข้อหาทันทีว่า “แซะ” ระบอบประชาธิปไตย บ้างก็ว่าสนับสนุนเผด็จการ บางคนให้ “กล้วย” ถามว่า “สมองคนหรือ?” (ถึงคิดได้แค่นี้...)ฯลฯ ส่วนที่เห็นด้วยก็เยอะ ซึ่งก็เป็นธรรมดาของความคิดเห็นที่ต้องแตกต่างกัน เพียงแต่น่าเสียดายว่า คนที่ให้กล้วยก็ไม่ได้ใช้สมองคิด แต่ใช้กล้วยแทน
พวกเขาโกรธที่ไปพาดพิงถึงเรื่องประชาธิปไตย
ที่จริงบทความน้อยๆนี้ก็แค่การ “ถอดรหัส” ของแก๊งค์ที่บุกทำร้ายและลวนลามนักเรียนที่โรงเรียนวัดสิงห์ และผมก็เห็นว่ามันก็ตรงกับ “สำนึก” ของผู้คนจำนวนมากในประเทศนี้ โดยเฉพาะในเรื่องการเมือง
การเมืองที่แบ่งเป็น 2 ฝ่ายใหญ่ๆ ฝ่ายหนึ่งยึดคำว่า “ประชาธิปไตย” ไว้เป็นสมบัติของตนเอง แล้วยัดเยียดอีกฝ่ายว่าเป็นเผด็จการ หรือสนับสนุน “เผด็จการ”
ดังนั้น พวกเขาจึงยอมไม่ได้ ถ้ามีใครแตะบุคคลในฝ่ายเดียวกับเขาหรือพูดถึงระบอบประชาธิปไตยในด้านลบ ทั้งที่การพูดนั้นก็ไม่ได้หมายถึง “ตัวระบอบ” หรือ “ระบบ” หรือ “ลัทธิ” ประชาธิปไตยอะไรเลย
เพราะตัวระบอบ – ระบบ – ลัทธิประชาธิปไตยนั้นมันเป็นเหมือนตำราหรือคัมภีร์สำหรับให้คนยึดถือปฏิบัติ ซึ่งตัวมันก็มีคุณค่าอยู่แล้ว แต่คนที่ป่าวร้องว่าตนเป็นนักประชาธิปไตยต่างหากที่เป็นตัวปัญหา
“เป็นตัวปัญหา” เพราะสำนึกของตนนั้นไม่ได้เป็นประชาธิปไตย เพราะถ้าเป็นด้วยสำนึกจริงก็จะไม่ทำตัวเป็นอันธพาลหรือกุ๊ยในวงการเมืองหรอก
“ตัวคน” กับตัว “ระบอบ - ระบบ” นั้นเป็นคนละส่วนกัน
แต่คนส่วนมากก็คิดว่า “กูนิยมระบอบประชาธิปไตย ดังนั้นกูจึงเป็นนักประชาธิปไตย” แต่มองไม่เห็นสำนึกของตนว่าเป็นเผด็จการ เพราะทนเห็นคนอื่นคิดแตกต่างไม่ได้ ทนฟังการวิพากษ์วิจารณ์ไม่ได้ “กูเท่านั้นที่ถูกต้อง คนอื่นผิดหมด”
จนประชาธิปไตยของพวกเขามีความหมายแค่ว่า “ประชาธิปไตยต้องตามใจกู”
แย่กว่านั้นกลับหลงคิดว่าระบอบประชาธิปไตยเป็นสมบัติของตน!
ไม่ว่าพวกเขาจะยึดเอาคำว่าประชาธิปไตยไปเป็น “แบรนด์” สำหรับฝ่ายตัวเอง จนกระทั่งหลงเชื่อว่าฝ่ายตนเป็นนักประชาธิปไตยจริงๆแล้วก็ตาม แต่จากการกระทำ ถ้อยคำ รวมทั้งท่าทีของพวกเขานั้นมันก็ฟ้องว่าเป็นเผด็จการอยู่ดี
แค่จะเคารพสิทธิและเสรีภาพของคนอื่นก็ยังทำไม่ได้เลย
“คนจะเป็นอะไรและอย่างไร” นั้นดูได้จากคำพูดและการกระทำ...คนจะเป็นนักประชาธิปไตยก็ต้องมีสำนึกประชาธิปไตย เมื่อแสดงออกด้วยถ้อยคำหรือการกระทำใดๆ ก็จะเห็นได้เองว่าเขามีความเป็นประชาธิปไตยหรือไม่
ไม่ใช่ป่าวประกาศและก่นด่า แจกกล้วยคนอื่น ราวกับว่าในหัวตัวเองมีแต่กล้วย คิดด้วยกล้วย พูดด้วยกล้วย จนเหมือนกล้วยคาปากอยู่ตลอดเวลา
ประเทศนี้ยังไม่เคยมีประชาธิปไตยตามปรัชญาของมันเลย ตลอดเวลานับแต่มีการแย่งยึดอำนาจเมื่อมี 2475 จนมาถึงวันนี้ก็มีแต่ระบอบเผด็จการ...ไม่ไม่เผด็จการทหารก็เผด็จการรัฐสภา อย่างในช่วงปี 2544 – ปัจจุบัน
มีน้อยครั้งมากที่ประเทศนี้เข้าใกล้ระบอบประชาธิปไตย
แม้มีการเลือกตั้ง คนที่ได้รับเลือกตั้งก็เอาแต่รับใช้ตัวเอง พวกพ้องและพวกนายทุนเสียส่วนมาก
ผมไม่เชื่อหรอกว่าคนในประเทศนี้หรือทั่วโลกจะนิยมชมชอบเผด็จการ ไม่มีใครต้องการอยู่ภายใต้อำนาจใคร ไม่มีใครต้องการถูกกดขี่ ทุกคนอยากมีสิทธิและเสรีภาพ แต่ที่มันมีปัญหาก็เพราะประชาธิปไตยถูกยึดไปเป็นสมบัติของคนบางพวก – บางฝ่าย แล้วยัดเยียดอีกฝ่ายว่าเป็นเผด็จการ จึงทะเลาะกันไม่เลิกและรุนแรงยิ่งขึ้นทุกที
ทั้งที่ปัญหาจริง ๆ มันอยู่ที่คน..ว่าเป็นคนดีหรือคนชั่ว
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี