มีน้องคนหนึ่งถามผมว่า “ธนาธรเขาเมากาวหรือพี่” !
ผมตอบว่า “เขาเมาอุดมการณ์”
อุดมการณ์ของคุณธนาธร ก็คือ “สังคมนิยม” อย่างน้อยในสมัยเป็นนักศึกษาเขาก็ “อิน” กับลัทธินี้มาก แต่ต่อมาคงลดระดับลงเหลือแค่ “ลิเบอรัล” เพราะตัวเองเป็นมหาเศรษฐีอันตับต้นๆของประเทศ มันขัดกับอุดมการณ์ของสังคมนิยมที่ต้องยึดทรัพย์สินของเอกชนเป็นของรัฐ!
“ภารกิจลิเบอรัล” ของ ธนาธรจึงเหลือแค่ไม่เอากษัตริย์
อันที่จริงใครจะรักจะชังใครนั้นเป็นเรื่องบังคับกันไม่ได้ แต่เมื่อเขาทำร้ายความรู้สึกของคนที่รักกษัตริย์ ก็ย่อมเป็นธรรมดาที่จะต้องโดนก่นประณาม เช่นเดียวกับที่เขากระทำกับฝ่ายตรงข้าม
“ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง” ที่ธนาธรก่นประณามนั้น นับว่า “บิดเบือนและหาเรื่องอย่างน่าละอายมาก”
ผมเข้าใจว่าเขาอยากปฏิวัติสังคมไทย วิธีพูดจึงมักปลุกระดมให้ร้ายฝ่ายตรงข้ามอยู่เสมอ
แม้เขาจะปฏิวัติสำเร็จ – เขาชนะ แต่ก็แค่กำจัดฝ่ายตรงข้ามได้เท่านั้น ส่วนการปฏิวัติสังคมนั้นเพิ่งจะเริ่มต้น และจะต้องเผชิญอุปสรรคขวากหนามอีกยาวนาน ซึ่งเรื่องนี้ไม่ต้องพิสูจน์อะไรอีก ศตวรรษที่แล้ว...บรรดาประเทศสังคมนิยมก็ได้พิสูจน์มาแล้วว่าล้มเหลว
เมื่อกำจัดฝ่ายตรงข้ามหรือชนชั้นผู้กดขี่แล้วก็ต้องหันมากำจัดผู้คนในชนชั้นเดียวกัน (กรรมาชีพ) ที่มีความคิดเห็นแตกต่างกัน...และก็กลายเป็นผู้กดขี่เสียเอง
ในประเทศสังคมนิยมจึงเกิดการต่อต้านและมีการปราบปรามหลายครั้ง...อย่างในโปแลนด์ เป็นต้น สุดท้ายก็หันกลับมาใช้ “การตลาด” ของระบอบทุนนิยมอยู่ดี แตกต่างกันเพียง “ส่วนเกิน” หรือที่อนุโลมเรียกว่า “กำไร” ในระบอบทุนนิยมนั้นเป็นของเอกชน แต่ในประเทศสังคมนิยมเป็นของรัฐ
และผู้เป็นเจ้าของรัฐก็คือชนชั้นปกครอง ที่มีอำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาดที่จะใช้มันทำอะไรก็ได้ ในนามพรรคและรัฐ
สังคมนิยมจึงมี 2 ชนชั้นอย่างเดิม แต่โหดเหี้ยมกว่าการกดขี่ในระบอบทุนนิยม
เมื่อเป็นอย่างนี้ผมก็เห็นว่าไม่ต้องไปเสียเวลา - เสียทรัพยากรในการเข่นฆ่าทำลายล้างกันในนามของการปฏิวัติอย่างเดิมอีก
ถ้าต้องการจะปฏิวัติก็ต้องมองให้เห็นความจริงในศตวรรษที่แล้วว่า “การปฏิวัติไม่ใช่การทำลายล้างฝ่ายตรงข้ามแล้วทุกอย่างจะเป็นจริงตามอุดมการณ์ในทันที...การกดขี่หมดไป ความเป็นธรรมในสังคมจะเกิดขึ้นโดยอัตโนมัติ”
แต่ "การปฏิวัติคือกระบวนการเปลี่ยนแปลงอย่างยาวนาน"
นานแค่ไหนก็ขึ้นอยู่กับ “เหตุ-ปัจจัย” (อิทัปปจจยตา ไม่ใช่กฎวิภาษวิธีหรือวัตถุนิยมประวัติศาสตร์อย่างที่เชื่อฝังหัวกันว่าเป็นสัจธรรม)
เมื่อการปฏิวัติคือกระบวนเปลี่ยนแปลงอย่างยาวนาน ก็ไม่จำเป็นต้องปฏิวัติแบบเดิมอีก แต่นำเสนออุดมการณ์ของลัทธิให้สาธารณชนได้รับรู้ว่ามันเลอเลิศอย่างไร และมีวิธีอะไรบ้างที่จะทำให้มันเป็นจริง
เมื่อสาธารณชนเชื่อมั่น...การเปลี่ยนแปลงด้วยสันติวิธีก็จะตามมา
ในปัจจุบันนี้ลัทธิสังคมนิยมเองก็มีการเปลี่ยนแปลงเป็นนีโอมาร์กซิสต์ และแยกสาขาเป็นเฟมินิสต์ (สิทธิสตรี) เป็นกรีน เป็นรัฐสวัสดิการ เป็นสังคมนิยมการตลาด
คุณธนาธรจะต้องค้นหา “ต้นทุนของสังคมไทย” ว่ามีอะไรบ้าง ซึ่งเป็นเรื่องวัฒนธรรมทั้งนั้น จากนั้นก็นำเอาอุดมการณ์ของสังคมนิยมผสมผสานเข้าไป โดยไม่ให้เกิดความแปลกแยกกับนิสัยคนไทยและวัฒนธรรมไทย
"แมวสีอะไรก็ได้ ขอให้จับหนูเป็น" (เติ้ง เสี่ยว ผิง)
ถ้าผมเป็นนักการเมืองก็จะค้นหา “ต้นทุนของสังคมไทย” เช่นกัน โดยปักธงยุทธศาสตร์ไว้ที่ “พลเมืองจะต้องพึ่งพาตนเองได้อย่างยั่งยืน มีสิทธิเสรีภาพในการดำเนินชีวิตและสามารถตัดสินใจด้วยตนเอง รวมทั้งสามารถพัฒนาศักยภาพของตนสู่ความเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ได้”
ไม่ใช่กดคนลงเป็นทาสของลัทธิอุดมการณ์
ไม่ใช่กดคนลงเป็นทาสของวัตถุ – ผลิตแต่วัตถุที่เรียกว่าของกินของใช้ จนคนกลายเป็นเครื่องจักรกลไก...ทั้งคนผลิตและคนบริโภค อย่างที่เกิดขึ้นในประเทศสังคมนิยมทั้งหลายมาแล้ว
ต้นทุนของสังคมไทยที่เห็นได้ง่ายก็คือ พุทธศาสนาและขนบธรรมเนียมประเพณีที่เกี่ยวข้อง ศาสนาอื่นก็ด้วย การเคารพธรรมชาติ เคารพบรรพบุรุษ ผูกพันกันด้วยระบบเครือญาติ การทำงานร่วมกัน การแลกเปลี่ยนแรงงานกัน (เอาแรง) อย่างการลงแขกเกี่ยวข้าว การทำบุญ – ทำทาน ทั้งหมดเป็นการช่วยเกลือเกื้อกูลกันทั้งนั้น
ถ้าทันสมัยขึ้นมาก็คือระบบสหกรณ์ และ “ปรัชญาเศรษฐกิจพอพียง”
ทุกสิ่งทุกอย่างจะเกี่ยวร้อยเป็นเครือข่ายที่ต่าง “พึ่งพิงอิงอาศัยกัน” นั่นคือ “นิเวศวิทยาเศรษฐกิจการเมืองและวัฒนธรรม” ที่ไม่ว่าโลกทุนนิยมจะผันผวนหรือล่มสลายอย่างไร พลเมืองก็ยังยืนหยัดอยู่ได้ เพราะพึ่งตนเองได้ อย่างน้อยก็มีปัจจัย 4 สำหรับดำรงชีวิต (ในปีเศรษฐกิจไทยพัง พ.ศ.2540 บรรดากรรมกรหลายล้านคนตกงาน ต่างก็กลับบ้านเกิดเมืองนอน ไปพึ่งพ่อแม่พี่น้องที่อยู่ในภาคเกษตรกรรม)
ทรัพย์สินเงินทองนั้นเมื่อไม่มีเครื่องอุปโภคบริโภคให้ใช้เงินซื้อก็เป็นแค่ตัวเลข เป็นแค่กระดาษ อย่างที่ประเทศในลาตินอเมริกากำลังเป็นอยู่
“เงินทองเป็นของมายา ข้าวปลาเป็นของมีจริง” (หม่อมเจ้าสิทธิพร กฤดากร)
ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงนั้นถือกำเนิดขึ้นมาก็เพื่อให้พลเมืองและชุมชนพึ่งตนเองได้ รวมทั้งการเกษตรอย่างอื่นๆ เช่น ไร่นาสวนผสม เกษตรกรรมแบบประณีต วนเกษตร ฯลฯ
ไม่ใช่พึ่ง "ตลาดเสรีของลัทธิทุนนิยม" ที่โดนเอาเปรียบและกำไรตกเป็นของเจ้าของสินค้า
และไม่ใช่พึ่ง “รัฐเผด็จการชนชั้นกรรมาชีพ" ของลัทธิสังคมนิยมที่กรรมาชนเป็นผู้ลงแรงผลิต แต่ถูกรัฐยึดเอาส่วนเกินหรือกำไรไป - แล้วคืนมาให้แค่พอยาไส้.
วิมล ไทรนิ่มนวล
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี