มีคนจำนวนมากบอกว่า “รัฐบาลของพล.อ.ประยุทธ์” ทั้งที่ยึดอำนาจและได้รับการเลือกตั้งมานั้นไม่แตกต่างกับ “รัฐบาลของระบอบทักษิณ” เพราะมีรัฐมนตรีที่สำคัญๆเป็นคนเดียวกัน จึงสรุปได้ว่ารัฐบาลไหนก็ “เหมือนกัน”
ประชาชน 2 ฝ่ายที่สู้กันมานานนับสิบปีก็เหนื่อยเปล่า บาดเจ็บล้มตายเปล่า
แต่ถ้าเรามองที่ “อุดมการณ์” ของทั้ง2ฝ่ายก็จะเห็นว่าไม่เหมือนกัน
แกนนำของ “รัฐบาลระบอบประยุทธ์” นั้นมีอุดมการณ์ “อนุรักษ์นิยม” คือต้องการธำรงไว้ซึ่ง ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ (และรัฐบาลตัวเอง)
ส่วน “รัฐบาลระบอบทักษิณ” นั้นต้องการสถาปนาระบอบ “เสรีนิยม” (ที่มีคอมมิวนิสต์เป็นแนวร่วม ส่วนพวกคอมมิวนิสต์ก็หวังใช้ระบอบทักษิณเป็นเครื่องมือ..ในฐานะ “คู่ขัดแย้งหลัก” กับระบอบเดิม)
อุดมการณ์จึงแตกต่างกันชัดเจน แต่มีจิตสำนึกเหมือนกัน
คือทั้ง พล.อ.ประยุทธ์และคุณทักษิณนั้นมี “จิตสำนึกแบบผู้ครอบครอง”
ส่วนนักการเมืองทั้งที่เป็นรัฐมนตรีและเป็น ส.ส. นั้น ส่วนมากแล้วพวกเขาอยู่ฝ่ายไหนก็ได้ที่ “ชนะ” เพราะพวกเขาต้องการมีอำนาจ และอำนาจนั้นก็จะนำมาซึ่งผลประโยชน์ต่างๆนานา ตั้งแต่ทรัพย์สินเงินทอง เกียรติยศชื่อเสียง...ทั้งหมดเป็นการเฉลิมฉลองอัตตาของพวกเขา
เรามองว่าพวกเขาเป็นกลางๆ ไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด ต้องการทำประโยชน์ให้ประเทศชาติก็ได้
มองว่าเป็นพวก “จิตสำนึกให้เช่า” ก็ได้
ข้อดีของการมีพวกจิตสำนึกให้เช่า หรือพวกกลางๆ หรือพวกชนะไหนชนะด้วยก็คือ ทำให้การปฏิบัติภาระหน้าที่ของรัฐบาลและฝ่ายนิติบัญญัติดำเนินไปได้ และไม่แตกหักกันทั้ง 2 ฝ่าย
ส่วน “พลเมือง” ที่ไม่ค่อยมีพลังก็สามารถแสวงหาประโยชน์ได้เช่นกัน คือพยายามเรียนรู้ - รู้ให้เท่าทันนักการเมืองทุกคน ทุกฝ่าย ประการสำคัญเรียนรู้ – รู้ให้เท่าทัน “อุดมการณ์กับชีวิตจริง” ว่าเป็นอย่างไร
โดยเฉพาะอุดมการณ์ที่ “นำเข้า” จากต่างประเทศแล้วเอามา “เลี้ยงดู” ไว้ในวัฒนธรรมไทย คนจะได้ไม่ตกเป็น “เครื่องมือ” ของอุดมการณ์ แต่เอาอุดมการณ์นั้นมาเป็นเครื่องมือของคน
ผมเคยใช้มีดกับส้อมสำหรับกินปลาน้ำจืดในท้องถิ่นไทย ปรากฏว่าก้างติดคอ ส่วนพ่อแม่ปู่ย่าตายายของผม “กินมือ” จึงเลือกก้างปลาออกได้หมด ซดน้ำแกงก็คล่องคอ
พวกนักการเมืองหรือพวกนักแสวงหาอำนาจนั้นเขามี “จิตสำนึก” ในแบบของเขา ส่วนพลเมืองอย่างเราๆท่านๆนั้นก็สามารถเรียนรู้และสร้างจิตสำนึกของตนได้ ว่าต้องการจิตสำนึกแบบไหน
ต้องการให้ตนมีจิตสำนึกแบบ “ผู้ถูกครอบครอง” หรือ “จิตสำนึกอารยะ” ?
เรื่องแบบนี้ต้องใช้ “หัวคิด” ของตน ถ้าเอาแต่เชื่อลัทธิอุดมการณ์แล้วเที่ยวกดขี่ข่มเหงคนอื่นให้เชื่อตามนั้น ก็เท่ากับกดขี่ข่มเหงตนด้วย
เป็นการกดขี่ข่มเหงทางสติปัญญา และน่าเสียดายที่เกิดมาเป็นมนุษย์ชาติหนึ่ง แต่ไม่คิดจะยกระดับศักยภาพของความเป็นมนุษย์ของตนเลย หลงคิดเอาแต่ว่าตนเป็นผู้มีอุดมการณ์ และจะไม่ยอมทรยศต่ออุดมการณ์ของตน
ยอมตายคาอุดมการณ์หวังให้พวกเดียวกันสรรเสริญ และปลื้มใจในตนเอง!
แค่นี้ก็น่าเสียดายแทนพอแล้ว ยิ่งพยายามที่จะหว่านล้อมคนอื่น ปั่นหัวคนอื่น กดขี่คนอื่นให้เป็นอย่างตน จนนำไปสู่ความแตกแยกและการทำลายล้างกันในสังคม...ก็ยิ่งน่าสมเพชจนต้องนับว่าเกิดมาเสียชาติเกิด
และไม่ควรจะเกิดเป็นคน หรือสัตว์อะไรทั้งสิ้น
เพราะมีจิตสำนึกของความเป็นทาส!
วิมล ไทรนิ่มนวล
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี