“ทุนจีน”ซื้อทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาเห็นว่าต่อเงินสร้างเงินให้เขาได้ ทั้งภาคเกษตรกรรม อุตสาหกรรม การค้าธุรกิจ และการบริการ
นั่นเพราะรัฐบาลไทยได้สร้างโครงการและออกกฎหมายเปิดโอกาสให้ทุนต่างชาติ(ทุกชาติ) เข้ามายึดทรัพย์สินและทรัพยากรต่างๆได้เต็มความสามารถ ในนามของ “การลงทุน” ด้วยหวังว่าจะมีเม็ดเงินไหลเวียนอยู่ในประเทศและคนไทยมีงานทำ ?
(ลองดูโครงการอีอีซี. หรือระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก เป็นตัวอย่าง )
แต่เมื่อเขาซื้อ(ลงทุน)แล้ว ก็นำคนของเขาเข้ามาทำงานแทนคนไทย เท่าที่กฎหมายและเงื่อนไขจะเปิดโอกาสให้ ดังนั้นเงินหรือรายได้ก็จะถูกส่งกลับประเทศของเขา เช่นเดียวกับนักลงทุนประเทศอื่น และเช่นเดียวกับแรงงานต่างประเทศที่เข้ามาขายแรงงานในประเทศเรา
ส่วนเจ้าของกิจการ ก็ได้เงินแค่ตอนขายกิจการหรือที่ดินเท่านั้น รัฐก็เก็บได้แต่เก็บภาษี ทั้งที่เราต้องลงทุนด้านสาธารณูปโภคและสังเวยทรัพยากรอย่างมหาศาลให้เขา รวมทั้งการสูญเสียโอกาสของคนไทยอีกมากมายนัก
แย่กว่านั้น “บางพื้นที่” คนไทยก็อาจกลายเป็นพลเมืองชั้นสอง!
หนุ่มจีน(คนรุ่นใหม่) ที่ยังมีทุนน้อย เขาจะเข้ามาซื้อคอนโดฯ บ้างก็ซื้อยกชั้น บ้างก็ซื้อเพียงบางห้อง ไม่ใช่ซื้อยกโครงการ บางคนมีเงินมากพอก็ซื้อห้องในหลายโครงการที่เป็นทำเลทอง เมื่อซื้อแล้วก็จะขายเอากำไร หรือให้เช่า ทั้งรายวันและรายเดือน
ผมเคยเป็นลูกค้าของหนุ่มจีน (ที่มีภรรยาเป็นคนไทย) โดยเช่าห้องในคอนโดฯที่พัทยา แม้โทร.จองล่วงหน้าเป็นสัปดาห์ ก็จะไม่ได้รับการยืนยันว่ามีห้องว่างหรือไม่ ต้องรอจนวันสุดท้ายที่ห้องเหลือจากนักท่องเที่ยวจีนเสียก่อนจึงได้รับคำตอบ แต่ถ้าห้องเต็มก็จะเงียบหายไปเลย
กรณีแบบนี้ถ้าไม่คิดอะไรมากก็เป็นเรื่องธรรมดา เขาไม่อยากให้เช่าก็เป็นสิทธิ์ของเขา แต่ถ้าคิดในมุม “จริยธรรมของผู้ประกอบการ” และลูกค้าที่เป็นเจ้าของประเทศ ก็จะรู้สึกว่าตนเป็นพลเมืองชั้นสอง
เรื่อง “ทุนจีน” บุกยึดประเทศไทยและประเทศอื่นๆนี้ เกิดขึ้นมานานแล้ว แต่ดูเหมือนว่าไม่มีใครสำเหนียก หรือสำเหนียกช้าไป (ตอนนี้มหาวิทยาลัยกำลังจะถูกซื้อ)
ความจริงนั้นไม่ได้มีแต่ทุนจีนที่เข้ามากว้านซื้อทรัพย์สินในรูปลักษณ์ต่าง ๆ ทุนชาติอื่นก็เข้ามาและเข้ามานานแล้ว ก่อนหน้าทุนจีนด้วยซ้ำ เพียงแต่เป็นไปอย่างเงียบๆ ไม่เอกเกริกเหมือนทุนจีน
เมื่อทุกสิ่งทุกอย่างที่ตีราคาเป็นเงินถูกซื้อมากขึ้น จนมองไปทางไหนก็เห็นแต่ทรัพย์สินของต่างชาติ นั่นหมายความว่าประเทศได้ตกเป็น “อาณานิคม” ของเขาไปแล้ว และเราก็ได้กลายเป็นพลเมืองชั้นสองในประเทศของตนเอง
แม้จนวันนี้...นักการเมืองทั้งในสภาและนอกสภาก็ยังคงแย่งชิงอำนาจการปกครองกัน และหนักข้อขึ้นทุกวัน ฝ่ายหนึ่งบอกว่าต้อง “ปกป้องชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์” อีกฝ่ายบอกว่า “ต้องสร้างความเท่าเทียมในสังคม” บรรดาแม่ยกกองเชียร์แต่ละฝ่ายต่างก็โหมแห่สนับสนุน “สงครามระบอบ” กันด้วยความมันสะใจ
แต่ขณะที่แย่งชิงอำนาจและมันสะใจกันอยู่นี้ ทรัพย์สินและทรัพยากรต่างๆของประเทศก็กำลังถูกยึดไปอย่างรวดเร็ว
กว่าทั้งสองฝ่ายจะรู้แพ้รู้ชนะกัน ก็ไม่ทราบว่า” ประเทศจะเหลืออะไรให้ปกป้อง ?”
“สังคมจะเหลืออะไรให้สร้างความเป็นธรรม ?”
วิมล ไทรนิ่มนวล
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี