ตอนนี้อเมริกาอากาศหนาวจัด หลายพื้นที่ได้รับผลกระทบจากพายุหิมะ อย่างแถวบ้านผู้เขียน ที่มีการประกาศงดเที่ยวบิน ในขณะที่ในสภากำลังร้อนฉ่า เพราะแนนซี เปโลซี ประธานสภาผู้แทนราษฎรลงมติส่งคำฟ้อง 2 ข้อหาขอถอดถอนประธานาธิบดีทรัมป์ไปยังวุฒิสภา หลังสมาชิกสภาล่างแห่งนี้ผ่านมติดำเนินการถอดถอนครั้งประวัติศาสตร์ตั้งแต่เดือนก่อน แม้ลึกๆ จะรู้ว่าบรรดาเฒ่าทั้งหลายในสภาสูง ซึ่งส่วนใหญ่เป็นพลพรรครีพับลิกันจะต้องช่วยอุ้มตาทรัมป์แน่ แต่ลุงแกคงไม่วายเสียวก้นวาบๆ นั่นแหละ
ศึกระหว่างอเมริกากับอิหร่านก็เหมือนพักรบชั่วคราว คาดว่าอิหร่านกำลังยุ่งกับการปรามคนในชาติตัวเอง แต่ช่วงนี้มีข่าวดังสะท้านโลก อันเนื่องมาจากดาราสาวชาวอเมริกันที่กลายเป็นเจ้าหญิงหลังอภิเษกกับเจ้าชายแห่งราชวงศ์อังกฤษ หลังแต่งงานแล้วก็ประกาศลั่นว่าจะไม่ร่วมเป็นราชวงศ์อังกฤษอีกต่อไป สร้างความสั่นสะเทือนราชวงศ์อังกฤษและทำให้บรรดานักข่าวขาเผือกจับกลุ่มเม้ามอยกันทั้งโลก
ดูเหมือนว่าราชวงศ์อังกฤษถึงจุดเปลี่ยน การที่เจ้าชายแฮร์รี่และพระชายาเมแกนออกมาประกาศปังดังไปสามโลกว่า ขอลดบทบาทในฐานะพระราชวงศ์ชั้นสูง และจะขอมีอิสระในการหาเงินเอง รวมทั้งอาศัยอยู่ระหว่างสองประเทศคือแคนาดากับอังกฤษ โดยจะยังสนับสนุนการทำงานของราชวงศ์เช่นเดิม เหมือนฟ้าผ่ากลางบักกิงแฮม แม้ทั้งคู่จะอ้างว่าปรึกษาเรื่องอนาคตมานานหลายเดือนแล้ว แต่กลับไม่เคยปรึกษาผู้ใหญ่ในครอบครัวอย่างสมเด็จพระราชินีนาถหรือเจ้าฟ้าชายชาร์ลสเลย เหมือนเตรียมการกันโดยพละการนั่นเอง ซึ่งถือว่าผิดธรรมเนียมอย่างแรง
มีข่าวลือต่างๆ นานาว่าราชวงศ์และคนอังกฤษ “ไม่ปลื้ม” สะใภ้อเมริกันรายนี้ แม้จะทรงให้กำเนิดเจ้าชายอาร์ชี แฮร์ริสัน ก็ตาม ทั้งนี้อาจเป็นเพราะทั้งสองพระองค์ไม่ค่อยทำตามธรรมเนียมหรือตามระเบียบแบบแผนเป๊ะๆ ของราชวงศ์อังกฤษ เช่น นำพระโอรสเข้าพิธีล้างบาปในโบสถ์แห่งหนึ่งใกล้พระราชวังวินด์เซอร์ โดยจัดพิธีเป็นการส่วนตัว ไม่อนุญาตให้ประชาชนและผู้สื่อข่าวเข้าร่วม ซึ่งขัดต่อธรรมเนียมปฏิบัติที่มีมายาวนาน
นอกจากนี้ยังมีข่าวทำนองว่าดัชเชสพระองค์นี้ “เยอะ” และ “มากเรื่อง” เช่น สร้างความอึดอัดใจให้เจ้าหน้าที่ถวายงานใกล้ชิดรวมทั้งไล่พี่เลี้ยงของพระโอรส 3 คนภายในเวลาไม่ถึง 1 เดือน จนสื่ออังกฤษตั้งชื่อเล่นจิดกัดดัชเชสว่า Me-Gain หรือแปลไทยประมาณว่า “ฉันกอบโกย” ยังมีข่าวว่าสองสะใภ้ราชวงศ์อังกฤษไม่ค่อยถูกกันเท่าไหร่ แถมเมแกนเป็นสาเหตุที่ทำให้เจ้าชายทั้งสองพระองค์ขัดแย้งกันแว่วมาเข้าหูขาเผือกขาเม้าธ์โลกเป็นระยะ
สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่สองจึงทรงมีกระแสรับสั่ง ให้พระราชวงศ์ชั้นสูงเข้าเฝ้าที่พระตำหนักซานดริงแฮมในมณฑลนอร์ฟอล์ก เพื่อหารือถึงบทบาทในอนาคตของดยุคและดัชเชสแห่งซัสเซกซ์ โดยทุกพระองค์มาประชุมพร้อมหน้ากัน ส่วนเมแกนนั้นประชุมผ่านโทรศัพท์ทางไกลจากแคนาดา
ผลออกมาว่า พระองค์อนุญาตให้หลายชายพระองค์โปรดไปมีชีวิตอิสระตามที่ร้องขอ แม้ว่าทุกพระองค์จะผิดหวังในการตัดสินพระทัยของเจ้าชายแฮร์รี่ เพราะทั้งคู่ไม่เคยหารือกับทางพระราชวงศ์มาก่อน เรียกว่าเรื่องนี้สร้างรอยร้าวให้กับสมาชิกราชวงศ์ก็ว่าได้ โดยเฉพาะพี่น้องสองเจ้าชาย เจ้าฟ้าชายชาร์ลสทรงกริ้วที่เจ้าชายแฮร์รีประกาศโดยไม่ทูลขอพระบรมราชานุญาตจากสมเด็จพระราชินีนาถก่อน และเสด็จออกไปก่อนประชุมจบ
ประเด็นต่อมาคือหากทั้งคู่มาประทับในแคนาดา ชาวแคนาดาจะต้องแบกรับภาษีในการรักษาความปลอดภัยหรือไม่ จึงมีการทำโพลความคิดเห็นโดยสถาบันอังกุสรีด พบว่าชาวแคนาดาราว 73% บอกว่าไม่ควรรับผิดชอบค่ารักษาความปลอดภัยและค่าใช้จ่ายอื่นๆของดยุก-ดัชเชสแห่งซัสเซกซ์ เท่ากับภาระนี้คงตกอยู่กับอังกฤษเหมือนเดิมนั่นเอง เพราะแคนนาเดี้ยนเซย์โน
ล่าสุดมีประกาศจากทางสำนักพระราชวังร้อนๆ ปลายสัปดาห์ สรุปสั้นๆ ว่าทั้งเจ้าชายแฮร์รี่และเมแกนจะไม่ใช้คำนำหน้าที่แสดงสถานะแห่งราชวงศ์อังกฤษ คือจะไม่ใช่คำนำหน้าว่า His Royal Highness (HRH) หรือ"เจ้าฟ้า" นำหน้าพระนามอีกต่อไป จะไม่ได้รับรับเงินอุดหนุนของราชวงศ์ และจะไม่เสด็จปฏิบัติพระกรณียกิจเป็นผู้แทนพระองค์ฯสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2
ส่วนเงินค่าซ่อมวังส่วนตัวของทั้งสองพระองค์จำนวน 2.4 ล้านปอนด์ก็จะจ่ายคืนให้ เพราะเป็นเงินภาษีประชาชน แต่จะเก็บวังไว้อาศัยในอังกฤษต่อไป
จะว่าไปแล้ว สาวอเมริกันเขย่าบัลลังก์ไม่ได้เกิดขึ้นหนแรก ก่อนหน้านี้กษัตริย์แห่งอังกฤษยินยอมสละราชสมบัติเพื่อได้ครองรักกับแม่ม่ายอเมริกันเลยทีเดียว ชื่อของสตรีผู้มีบทบาทเหนือบัลลังก์ราชวงศ์อังกฤษคือนางวอลลิส ซิมป์สัน
คนรุ่นใหม่หลายคนอาจจะไม่รู้จักสตรีผู้กำดวงพระทัยกษัตริย์อังกฤษรายนี้ เพราะเรื่องนี้เกิดขึ้นมานานแล้ว ถือเป็นรักสะท้านโลกในเวลานั้นเลยทีเดียว วอลลิส ซิมป์สันเป็นคนอเมริกัน เกิดในบัลติมอร์ พ่อตาย จึงไปอยู่กับป้าที่ค่อนข้างมีฐานะ เลยนิยมชีวิตแบบหรูหราแบบชนชั้นสูง ต่อมาแต่งงานกับทหารเรือรูปหล่อ หล่อจนมองข้ามความขี้เมาหยำเปของสามี สุดท้ายโดนซ้อมอย่างหนักจนต้องหย่า จากนั้นผูกสมัครรักใคร่กับหนุ่มชนชั้นสูงหรือทายาทเศรษฐีไปทั่ว จนแต่งงานหนที่สองกับเออร์เนสต์ ซิมป์สัน เศรษฐีชาวอังกฤษ แล้วย้ายไปอยู่อังกฤษ และกลายเป็นคนรักของเจ้าชายเอ็ดเวิร์ด ทั้งที่ยังไม่ได้หย่าขาดกับสามี
ส่วนเจ้าชายเอ็ดเวิร์ดหรืออดีตสมเด็จพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 8 มีรสนิยมชอบผู้หญิงที่มีอายุมากกว่าพระองค์ ตอนนั้นเลย “คั่ว” อยู่กับหลายนาง สร้างความปวดพระเศียรให้พระบิดา คือ สมเด็จพระเจ้าจอร์จที่ 5 ที่สุด หลายคนอาจจะงงว่า เจ้าชายเอ็ดเวิร์ดพระองค์นี้เป็นใคร ลำดับญาติง่ายๆ แบบบ้านๆคือ เป็นลุงของเจ้าฟ้าชายชาร์ลสนั่นเอง พระเจ้าจอร์จที่ 5 มีพระโอรสและพระธิดา 3 พระองค์ พระองค์โตคือเจ้าชายเอ็ดเวิร์ด พระองค์รองคือเจ้าชายอัลเบิร์ต และพระธิดาคือเจ้าหญิงอลิซาเบธ ซึ่งเป็นราชินีพระองค์ปัจจุบัน หรือเป็นย่าของเจ้าชายแฮร์รี่นั่นเอง
วกกลับมาที่พระเจ้าจอร์จที่ 5 ทรงเวียนพระเฮดสุดๆ ที่ลูกชายคนโตเป็นแบบนี้ เมื่อเจ้าชายเอ็ดเวิร์ดนำแม่ม่ายชาวอเมริกันมาเฝ้าในฐานะคนรัก จึงทรงยอมรับไม่ได้ ในเวลานั้นการหย่าถือเป็นเรื่องคอขาดบาดตายที่สุด ร้ายหนักกว่านั้นคือยังไม่ได้หย่าขาดกับสามีคนที่สองอีกด้วย ถึงกับสวดอ้อนวอนพระเจ้าเพื่อให้เจ้าชายเอ็ดเวิร์ดไม่ได้เสกสมรสและไม่มีทายาทกันเลยทีเดียว
ต่อมาหลังพระเจ้าจอร์จที่ 5 สิ้นพระชนม์ เจ้าชายผู้หลงรักแม่ม่ายอเมริกันก็ขึ้นเป็นพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 8 จากนั้นก็ควงแม่ม่ายออกงานอย่างเปิดเผย แม้นางจะยังไม่หย่าขาดกัยสามีคนที่สอง สร้างความตกตะลึงแก่แวดวงสังคมและการเมืองท่ามกลางเสียงคัดค้านดังระงมไปทั้งเกาะอังกฤษ
ตอนนั้นเรื่องนี้กลายเป็นปัญหาระดับชาติเลยทีเดียว เพราะคนอังกฤษเห็นว่านางไม่มีคุณสมบัติจะเป็นสมเด็จพระราชินี เพราะเป็นหญิงต่างชาติ แถมหย่ามาแล้วหนหนึ่ง และยังไม่หย่าขาดกับสามีคนที่สอง ไม่ใช่แค่ประชาชนที่คัดค้าน นายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีถึงกับทูลว่า หากดื้อดึงจะสมรสกับนางคนนี้ คณะรัฐบาลจะลาออกทั้งคณะ..เอาซี้ นี่หนักหนาสาหัสมากทีเดียว
เจอแรงต้านขนาดนี้ แทนที่พระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 8 จะถอย กลับเลือกการสละราชสมบัติแทน เพื่อจะได้แต่งงานกับแม่ม่ายเสน่ห์แรงรายนี้ หลังจากครองราชย์ได้แค่หนึ่งปี ก็ประกาศสละราชสมบัติในวันที่ 10 ธันวาคม 1936
ภายหลังทรงสละราชสมบัติแล้ว อนุชาของพระองค์ซึ่งขึ้นเป็นกษัตริย์แทน เป็นพระเจ้าจอร์จที่หกทรงประทานยศให้พระองค์เป็นดยุคแห่งวินด์เซอร์ และได้รับเงินปีจำนวนหนึ่ง อีกหกเดือนต่อมา ทรงอภิเษกสมรสอย่างเงียบๆ กับวอลลิสในฝรั่งเศส โดยไม่มีพระญาติในราชวงศ์ไปร่วมพิธีแม้แต่พระองค์เดียว หนักกว่านั้นคือ พระองค์ไม่สามารถกลับเกาะอังกฤษได้ หากพระอนุชาไม่ทูลเชิญให้กลับ จนสิ้นพระชนม์ในปารีสนั่นเอง แล้วนำพระศพมาไว้ในสุสานหลวง ส่วนนางวอลลิสหรือดัชเชสออฟวินด์เซอร์เสียชีวิตในอีก 14 ปีต่อมา และนำศพมาฝังเคียงคู่กับอดีตพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 8
ปีนี้ดัชเชสแห่งซัสเซกซ์ อดีตดาราอเมริกันเขย่าบัลลังก์จนทำให้เจ้าชายแฮร์รี่กล้าขัดพระทัยพระบิดาและสมเด็จย่า จนถึงขั้นสละยศและเงินสนับสนุน แต่ไม่ว่าจะอย่างไร หากว่าเลือกแล้ว ก็ขอให้ทั้งคู่มีความสุขบนเส้นทางที่เลือก
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี