ผู้คนบ่นว่าอากาศร้อนมากขึ้นทุกปี สาเหตุที่มักคิดกันเป็นอันดับแรกคือ ไฟไหม้ป่าที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ คือการเสียดสีของใบไม้หรือกิ่งไม้แห้ง เกิดจากความมักง่ายของคนที่ทิ้งวัตถุติดไฟ เช่น ก้นบุหรี่ที่ดับไม่สนิท และการเผาโดยตั้งใจเพื่อจะเอาที่ดินไปทำการเกษตร หรือทำอื่นใดที่เกินกว่าสติปัญญาผมจะทราบได้
อีกสาเหตุคือการเผาถ่านในเขตชุมชน ซึ่งเป็นธุรกิจของคนและกลุ่มคนจำนวนหนึ่ง แต่ทำความเดือดร้อนให้คนจำนวนมาก สิ่งที่ตามมาคืออากาศร้อนขึ้นและควันจากการเผาไหม้เป็นพิษทำลายสุขภาพ
ตั้งแต่ต้นปี 2567 มาถึงตอนนี้ เกิดเหตุการณ์ไฟไหม้ป่านับครั้งไม่ถ้วน ทั้งจังหวัดในภาคเหนือและอีสาน ถึงขนาด สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ หรือ (Geo-Informatics and Space Technology Development Agency - GISTDA) เคยคาดการณ์ว่า ระหว่างวันที่ 19 - 25 กุมภาพันธ์จะมีพื้นที่เสี่ยงสูงต่อการเกิดไฟป่ามากถึง 10 จังหวัดและกินพื้นที่กว้างกว่า 1 ล้านไร่
ส่วนใหญ่จะเกิดในเขตพื้นที่ป่า พื้นที่เกษตร และพื้นที่เขต ส.ป.ก. จากการจุดไฟเผาเพื่อหาของป่า หรือเตรียมการเพาะปลูก และเผาหลังเก็บเกี่ยวผลผลิต
ไฟไหม้ในพื้นที่ทำการเกษตรในจังหวัดต่างๆ โดยเฉพาะแถวภาคกลาง ก็เป็นปัญหามากเช่นกัน ผมเคยถามชาวบ้านในจังหวัดหนึ่งของภาคกลางว่า ทำไมไม่ใช้รถไถพลิกผืนดินเพื่อลงพืชพันธุ์ใหม่ตามรอบฤดูกาล คำตอบก็คือ เสียเวลา และสิ้นเปลืองค่าจ้างรถมาไถ
สถิติย้อนหลัง 10 ปี ระหว่างปีพ.ศ. 2557-2566 พบว่ามีเจ้าหน้าที่และชาวบ้านอาสาสมัครเข้าไปช่วยกันดับไฟป่า 50,000 กว่าครั้ง นั่นก็หมายถึงมีไฟไหม้ป่า เพราะถ้าไม่ไหม้ก็คงไม่ต้องเข้าไปดับนี่ยังไม่นับที่ไหม้เล็กๆ น้อยๆ แล้วดับไปเอง
รวมพื้นที่ถูกไฟไหม้ป่าในรอบ 10 ปีมากกว่า 1 ล้านไร่ เปรียบเป็นตารางกิโลเมตรก็ประมาณ 1,614 ตารางกิโลเมตร ขณะที่พื้นที่กรุงเทพฯ มีราวๆ 1,569 ตารางกิโลเมตร
คิดให้เห็นภาพสยดสยองสักหน่อยก็คือ ถ้าไฟที่ไหม้ป่ามาทั้งหมดนั้นเกิดในกรุงเทพฯ ก็จะไหม้กรุงเทพฯ ราพณาสูร แถมจังหวัดรอบๆ อีกนิดหน่อย
ถ้ากฎหมายยังเบาบาง อิทธิพลของทุน และความเห็นแก่ตัวของคน ยังไม่ถูกปรับปรุง เจ้าหน้าที่และอาสาสมัครเท่าไหร่ก็ไม่พอ
แต่ที่กล่าวมาก็ยังไม่ใช่สาเหตุทั้งหมดที่บ้านเมืองร้อนขึ้น การใช้อุปกรณ์ไฟฟ้าตามบ้านเรือนที่พักอาศัยและสำนักงานต่างๆ, การใช้เครื่องจักรเครื่องยนต์ที่ต้องอาศัยการเผาผลาญด้วยพลังงานน้ำมัน ฯลฯ เหล่านี้ก็มีส่วนทำให้เกิดความร้อน และบรรยากาศอุดมด้วยพิษจากฝุ่นควัน เป็นผลพวงที่มาจากความสะดวกสบายในการใช้ชีวิตประจำวัน
เดี๋ยวนี้ แค่การทำอาหารตามบ้าน ดูเหมือนจะไม่มีใครใช้เตาถ่านหรือเตาแก๊สกันแล้ว เกือบทุกอย่างใช้ไฟฟ้ากันหมด และที่อยู่อาศัยก็ติดแอร์คอนดิชั่นเป็นส่วนมาก โดยเฉพาะตาม
อพาร์ทเมนท์และคอนโดมิเนียม แทบจะเปิดกันทั้งวันทั้งคืน ยิ่งร้อนก็ยิ่งใช้ว่างั้นเถอะ
เคยมีคนเสนอความคิดเพื่อประหยัดพลังงาน ลดบรรยากาศโลกร้อน และแก้ปัญหาฝุ่นควันมากมายหลายวิธี เช่น ปิดไฟเป็นเวลา, ให้รถทะเบียนคู่คี่สลับวันกันวิ่ง หรือคิดเงินพิเศษสำหรับผู้ที่ต้องการนำรถเข้าเขตเมืองชั้นใน แบบที่เรียกว่า Restrict Zone แต่ก็ไม่เคยสำเร็จ เพราะผู้คนไม่เอาด้วย และรถสาธารณะไม่เพียงพอ หรือบริการไม่น่าพอใจ บางทีก็ไม่มีเหตุผลอะไรนอกจากไม่อยากให้ความร่วมมือเฉยๆ ใครจะทำไม
นับตั้งแต่โลกเปลี่ยนผ่านในยุคปฏิวัติอุตสาหกรรม และเข้าสู่ความเป็นทุนนิยมเต็มรูปแบบ นำมาซึ่งความก้าวหน้ามากมาย เทคโนโลยีถูกพัฒนาไปไกลอย่างไม่หยุดยั้ง แต่ในทางกลับกัน การป้องกันและแก้ปัญหาต่างๆ ตามไม่ทัน หรือจะพูดว่า มองการณ์ไกลเพียงด้านเดียวก็คงไม่ผิดความจริงสักเท่าไหร่ และเมื่อเกิดความสะดวกสบาย ความเคยชิน ปัญหาที่บวมโตก็แก้ไขได้ยากขึ้นทุกที
แต่ไม่ใช่ว่า ปัญหาเหล่านี้จะแก้ไม่ได้โดยสิ้นเชิง หากช่วยกันคนละไม้ละมือ ปัญหาที่บ่นๆ กันก็อาจจะบรรเทาลงได้บ้าง โดยเริ่มต้นที่ตัวเราเอง อย่าไปเรียกร้องเอาจากใคร
ทิวา สาระจูฑะ
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี