ปัญญาและความรักมาจากคำว่า “ปรัชญา” แปลว่าความรักในความรู้ หรือปัญญา หรือความรักในปัญญา คือความรักที่จะแสวงหา - ค้นคว้าหาความรู้เพื่อสร้างปัญญา ตั้งแต่ความรู้แบบ“โลกๆ” เพื่อการดำเนินชีวิตอย่างปกติสุข จนถึงความรู้อัน “จริงแท้” ที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังความรู้แบบโลกๆ นั้น เพื่อความหลุดพ้นไปจากทุกข์อย่างเด็ดขาด
ความหมายดังกล่าวนี้จึงนำไปใช้ได้กับทุกเรื่องราวในชีวิตมนุษย์ ซึ่งในยุคนี้ก็ไม่มีอะไรสำคัญมากกว่าเรื่องเศรษฐกิจและการเมือง
แต่ “ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง” นั้นจะเน้นที่ด้านเศรษฐกิจหรือเรื่อง “การทำมาหากิน” เพราะเป็นปัจจัยแรกที่ทำให้มนุษย์ดำรงชีวิตอยู่ได้
-ทำไมจึงต้องเศรษฐกิจพอเพียง?
ประเทศไทยใช้ระบบเศรษฐกิจทุนนิยมหรือ “ระบบเศรษฐกิจตลาดเสรี” ที่ใครอยากจะผลิตหรือค้าขายหรือทำอะไรก็ได้ เป็นการแข่งขันกันอย่างเสรี ผลคือใครที่แข็งแรงกว่า เก่งกว่า มีความรู้กว้างขวางกว่า มีพวกพ้องมากกว่า มีเส้นสายในหน่วยงานของรัฐก็จะได้เปรียบคนอื่นๆที่ด้อยกว่า
สุดท้ายก็นำไปสู่ระบบ “ปลาใหญ่กินปลาเล็ก” กระทั่งมีการรวมหัวกัน “ผูกขาด” การผลิตและการค้านั้นๆ คนกลุ่มนี้มีจำนวนน้อยนิดเมื่อเทียบกับคนทั้งประเทศ
-คนทั้งประเทศเป็นอย่างไร?
พื้นฐานการทำมาหากินของคนทั่วโลกนั้นพัฒนามาเหมือนกัน จากพึ่งพิงธรรมชาติ เช่นล่าสัตว์เก็บพืชผัก พัฒนามาเป็นสังคมเกษตรกรรม และสังคมเกษตรกรรมนี้ก็ยังดำเนินมาจนปัจจุบัน เพราะคนยังต้องกินต้องใช้ มันจึงเป็นพื้นฐานของสังคม แม้เทคโนโลยีจะก้าวหน้าจนคนส่วนมากตามไม่ทันแล้ว
-เหตุแห่งทฤษฎีเศรษฐกิจพอเพียง
คนที่อยู่ในสังคมเกษตรกรรมนี้เองที่ไม่มีความรู้เท่าทันโลกยุคใหม่ ที่มีทั้งความรู้ใหม่และเทคโนโลยีแบบใหม่ ไม่ได้มีความรู้กว้างขวาง ไม่ได้มีพวกพ้อง ไม่ได้มีเส้นสายในหน่วยงานของรัฐอย่างพวกแรก ไม่มีความรู้และไม่เท่าทันแม้กระทั่งเรื่อง “การตลาด” คือจะขายสินค้าให้ใคร ที่ไหน อย่างไร ซ้ำยังกำหนดราคาเองไม่ได้ คนที่อยู่ในภาคเกษตรกรรมจึงล้มละลาย เป็นหนี้ หรือไม่ก็สูญเสียที่ดินทำกิน ถ้าไม่เช่าที่ดินของตัวเองทำกิน ก็กลายเป็น “ชนอพยพ” ไปขายแรงงานในเมืองหรือในต่างประเทศ แนวโน้มนี้กำลังเพิ่มมากขึ้นทุกวัน
ซ้ำยังมี “การเกษตรอุตสาหกรรม” ซึ่งเจ้าของส่วนมากเป็นนายทุน มันกำลังขยายครอบคลุมและครอบครองการผลิตและการตลาดมากขึ้น สิ่งที่คนในภาคเกษตรกรรมจะพอทำได้ก็เป็นแค่ “ลูกไร่” หรือ “ลูกฟาร์ม” สุดท้ายก็เป็นได้แค่ “ลูกไล่” เพราะยามขาดทุนก็ต้องรับผิดชอบเอง ถ้ามีกำไร ตนเองก็ไม่ได้มีส่วนด้วย ความมั่งคั่งจึงไปตกอยู่กับพวกนายทุน
ความเป็นจริงที่ขมขื่นนี้จึงเกิดสำนวนที่ว่า“รวยกระจุก จนกระจาย” มาจนทุกวันนี้
ด้วยเหตุนี้ทฤษฎีเศรษฐกิจพอเพียงถึงอุบัติขึ้น เพื่อช่วยเหลือเกื้อกูลคนที่อยู่ในภาคเกษตรกรรมเป็นหลัก และเกิด “เกษตรทฤษฎีใหม่” ตามมาอย่างเป็นรูปธรรม
ไม่ได้หมายความว่า ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงจะใช้เฉพาะแต่ภาคเกษตรกรรม หากแต่ใช้ได้กับทุกอาชีพ ทุกเรื่อง ทุกภาคส่วนในสังคมไทย ไม่เว้นแม้กระทั่งเรื่องการเมือง การค้าธุรกิจ และอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ต่างๆ
เพราะ “ปรัชญาเศรษฐกิจพอพียง” นั้นหมายถึงการใช้ปัญญา ความรัก และความรู้จริงนั้นทำมาหากิน(เศรษฐกิจ) โดยยึดหลักว่าให้“พอเพียง” ก่อน เพื่อเป็นพื้นฐานหรือที่ยืนของชีวิตและครอบครัวเพื่อจะได้ขยายเพิ่มพูนต่อไป
ทั้งพอเพียงและการขยายเพิ่มพูนนั้นจะต้องรักษา “ดุลยภาพ” ของชีวิตกับการทำมาหากินว่าต้องพอดีกัน คือ 1. ชีวิตต้องมีความสุข 2. จะมีความสุขได้ก็ต้องไม่ทำอะไรเกินตัว ไม่สร้างหนี้เกินจะรับมือไหว ไม่ใช้จ่ายเกินตัว เกินความสามารถ 3. มีความรู้พอเพียงในอาชีพของตนจึงจะประสบความสำเร็จได้
ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงจึงเริ่มต้นด้วยการสร้าง “พื้นฐานแห่งการดำรงชีวิต” หรือปัจจัย 4 ก่อนในเบื้องแรก เพื่อพึ่งพาตัวเองได้ ให้พอดี ไม่ให้ขาดหรือเกินด้านใดด้านหนึ่ง เมื่อมั่นคงแล้วก็จะได้ก้าวต่อไปอย่างมั่นคง และก้าวด้วยหลักการดุลยภาพดังกล่าว
ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงไม่ใช่การกดคนให้จนลง ที่จนอยู่แล้วก็ให้จนดักดานต่อไป เพื่อชนชั้นศักดินาจะได้ปกครองได้ง่ายขึ้น อย่างที่ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ รวมทั้งคนอื่นๆ อีกจำนวนมากพยายามปั่นหัวเยาวชนให้โง่เหมือนพวกตนอยู่ในปัจจุบันนี้
ตรงกันข้าม “เศรษฐกิจหุ้น” ต่างหากที่ทำให้คนส่วนมากจนลง (พวกแมลงเม่า) มีคนจำนวนน้อยรวยขึ้น บางสมัยก็เจ๊งกันทั้งหมด อย่างที่ธนาธรมีหุ้นในบริษัทพลังงานจำนวนมหาศาลในปัจจุบันนี้ เพราะมันเป็น “เศรษฐกิจกาสิโน” หรือเศรษฐกิจแห่งความละโมบ
วิมล ไทรนิ่มนวล
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี