ใน 2 บทความที่ผ่านมาผมได้เขียนถึงความดี และคุณสมบัติที่เกี่ยวกับความเก่งไปแล้ว 3 จาก 7 อย่าง คือ เก่งคิด เก่งคน และเก่งงาน เกี่ยวกับเก่งงานผมได้ยกตัวอย่างจากช่วงที่ผมเป็นเลขาธิการแพทยสภาให้ทราบ ในบทความวันนี้จะเขียนถึงการที่จะเก่งเงินให้ท่านผู้อ่านได้ฟัง ซึ่งผมได้นำความรู้นี้ไปแนะนำลูกศิษย์ด้วยในช่วงการสอนนอกเวลาของผมคือ 07.00-08.00 น. เพื่อคุณหมอทั้งหลายได้วางแผนทางด้านการเงินตั้งแต่อายุ 27-29 ปี (แพทย์ประจำบ้านภาควิชาอายุรศาสตร์ ปีที่ 2)
เก่งเงิน คือ ต้องหาเงินเก่ง ใช้เงินให้เป็น ให้ cost effective (คุ้มค่า) ไม่มีการใช้เงินอย่างฟุ่งเฟือย ต้องบริหารเงินให้เก่ง ไม่ใช่จะทำอะไรจะต้องมีเงิน ขอเงิน รองบประมาณก่อน ต้องพยายามให้ตนเองมีความสามารถที่จะทำโครงการอะไรได้ โดยไม่มีงบประมาณหรือมีน้อย แต่ถ้าจะเอากันจริงๆ เก่งเงิน คือ มีความรู้ทางการเงินหรือมี financial literacy ซึ่งมีหลักอยู่ 4 อย่าง คือ 1) หาเงินเก่ง 2) ออมทันที ที่ได้รับเงินเดือนก่อนที่จะหัก(ภาษี)อะไรทั้งสิ้น อย่างน้อย 10% แต่ยิ่งมากยิ่งดี 3) ใช้เงินจากจำนวนที่เหลือ แต่ก็ต้องใช้แบบให้คุ้มค่าใช้ในสิ่งที่จำเป็น ต้องแยก need (จำเป็น) ออกจาก want (ต้องการ อยากได้) ถ้าเหลือนำไปรวมกับส่วนที่ออมไว้แต่แรก 4) ลงทุน การลงทุนสมัยนี้สำคัญมาก สมัยก่อนฝากเงินไว้ในบัญชีฝากประจำ ก็ได้ดอกเบี้ยแล้ว 10% ต่อปี แต่เดี๋ยวนี้ได้ดอกเบี้ยเพียง 0.5-1.5% จากบัญชีออมทรัพย์และฝากประจำตามลำดับ ซึ่งดอกเบี้ยปริมาณนี้ยังน้อยกว่าอัตราเงินเฟ้อที่อยู่ระหว่าง 1.5-4% ต่อปี ฉะนั้นถ้าฝากเงินไว้ที่ธนาคารเท่านั้นจะขาดทุนเงินต้นที่ฝากจะค่อยๆ หดหายไป ฉะนั้นจึงมีความจำเป็นต้องนำเงินที่ออมได้ไปลงทุนอย่างชาญฉลาด
คนที่จะเก่งทางการเงินนอกจากจะต้องรู้จัก financial literacy แล้ว ยังจะต้องรู้จักความหมายของคำว่า financial freedom ซึ่งก็คือ มีอิสรภาพทางการเงิน อันนี้หมายความว่า เรามีรายได้จากทรัพย์สิน (ไม่ใช่จากการทำงาน พูดง่ายๆ หลับไป ตื่นมาก็มีเงินโผล่มาให้เราได้ชมแล้วเป็นพันเป็นหมื่นบาท) มากกว่ารายจ่ายในแต่ละเดือน ทรัพย์สินคืออะไร ทรัพย์สินคือเงินฝากธนาคาร ตราสารหนี้ หุ้นกู้ กองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) กองทุนรวม (mutual fund) หุ้น บ้านให้เช่า รถให้เช่า ฯลฯ
ฉะนั้นผู้ที่เก่งเงินจะต้องเอาเงินที่ออมได้ไปลงทุนเพื่อที่จะทำให้ทรัพย์สินเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ต้องเริ่มลงทุนตั้งแต่ได้รับเงินเดือนเดือนแรก ซึ่งอาจเป็นตอนอายุ 22-24 ปี แล้วแต่ แต่ละอาชีพ เช่น แพทย์อาจเรียนจบตอนอายุ 24 ปี โดยเฉลี่ย
ขั้นตอนตามลำดับ คือ เมื่อได้รับเงินเดือน 1) ควรออมทันที 10% (อย่างต่ำ) ของรายรับทุกเดือน (และควรออมจนมีเงินเพียงพอสำหรับใช้จ่ายถึง 6 เดือน สำหรับกรณีฉุกเฉิน) 2) ใช้จ่ายตามหลักการเศรษฐกิจพอเพียง และเมื่อเก็บได้ 6 เดือนของรายจ่าย/เดือนแล้ว ควรนำเงินก้อนที่ออมได้ในแต่ละเดือน และส่วนที่เหลือใช้ไปลงทุน การลงทุนนั้นควรเริ่มต้นด้วยการซื้อ LTF, RMF เป็นประจำทุกเดือน เท่าที่จะนำไปหักภาษีได้ ไม่ควรซื้อมากกว่านั้น ถ้ายังมีรายได้ต่ำ ไม่มีส่วนที่นำไปหักภาษีได้ ก็ไม่ต้องซื้อ LTF, RMF LTF, RMF เป็นวิธีกระตุ้นจากรัฐบาลให้เราออม ลงทุน เพื่อที่จะมีเงินจับจ่ายใช้สอยตอนเราเกษียณอายุ ฉะนั้นเมื่อซื้อ LTF จะต้องถือไว้ 7 ปี (5 ปีปฏิทิน) ก่อนที่จะขายได้ และต้องถือ RMF ไว้จนอายุ 55 ปี หรือถ้าซื้อตอนอายุถึง 55 ปี แล้วต้องถืออย่างน้อย 5 ปี ถ้าไม่มีความจำเป็นที่จะต้องใช้เงินจากการปันผลของ LTF (RMF ไม่มีปันผล) ควรซื้อ LTF ที่ไม่มีปันผล (ทาง บลจ.จะนำดอกผลไปทบต้น) ต้นจะได้โตเร็ว (ดอกเบี้ยทบต้น เช่น ถ้าได้ปันผลปีละ 10% ภายใน7 ปี เงิน 1 ล้านจะกลายเป็น 2 ล้าน อีก 7 ปี จะเป็น 4 ล้านบาท ฯลฯ) เงินที่ออมได้ในแต่ละเดือน ถ้ายังเหลือจากการซื้อ LTF, RMF ควรนำไปซื้อกองทุนรวม ซึ่งถ้าเราเริ่มตั้งแต่อายุน้อย เช่น 25 ปี อาจพิจารณาซื้อกองทุนรวมที่เป็นหุ้นทั้งนั้น (กองทุนรวมอาจมีหุ้นล้วนๆ หรือตราสารหนี้ล้วนๆ หรืออย่างหนึ่งอย่างใด เช่น มีตราสารนี้ 80, 60, 40% ตามลำดับและมีหุ้น 20% หรือหุ้น 40% หุ้น 60% ฯลฯ ตามลำดับ) การซื้อหุ้นจะมีความเสี่ยงกว่าการซื้อตราสารหนี้ในระยะสั้น แต่ถ้าเราอายุ 25 ปี และจะเกษียณตอนอายุ 60 ปี การซื้อหุ้นล้วนๆ และถือไว้ 35 ปี แทบจะไม่มีความเสี่ยงเลย การที่จะซื้อหุ้นหรือกองทุนรวม ควรถือระยะยาว สำหรับผมคือ 10 ปีขึ้นไป แต่ยิ่งนานยิ่งดียิ่งมีโอกาสที่จะกำไร
นพ.พินิจ กุลละวณิชย์
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี