ศูนย์รับบริจาคอวัยวะ สภากาชาดไทย จัดตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2533 บัดนี้ครบรอบการก่อตั้ง 30 ปี โดยสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี พระราชทานพระราชานุญาต ให้วันที่ 2 เมษายนซึ่งเป็นวันคล้ายวันพระราชสมภพเป็นวันศูนย์รับบริจาคอวัยวะ สภากาชาดไทย เพื่อระลึกถึงคุณความดีของผู้บริจาคอวัยวะและญาติที่ได้เสียสละอวัยวะอันมีค่านี้เพื่อต่อชีวิตเพื่อนมนุษย์อีกหลายชีวิตที่ทนทุกข์ทรมาน และสิ้นหวังในชีวิต ได้มีชีวิตใหม่ที่เปี่ยมด้วยคุณภาพ ศูนย์รับบริจาคอวัยวะจึงได้จัดพิธีบำเพ็ญกุศลอุทิศแด่ผู้บริจาคอวัยวะเป็นประจำทุกปี
ในปี พ.ศ. 2566 มีผู้กรุณาบริจาคอวัยวะจากสมองตาย รวมทั้งสิ้น 446 ราย หรือ 6.8 คนต่อประชากร 1 ล้านคน เพิ่มขึ้น 143 ราย (47%) จากปี 2565 หรือรวมทั้งสิ้นตั้งแต่มีการก่อตั้งศูนย์ 30 ปี คือ 4,201 ราย ทำให้ในปี พ.ศ.2566 มีผู้ได้รับบริจาคอวัยวะรวมทั้งสิ้น 936 ราย (1 ผู้บริจาคให้อวัยวะได้หลายอวัยวะ) คือ ไต 782, ตับ 113, หัวใจ 29, ปอด 2, ไตและตับ 5, ไตและตับอ่อน 3, ไตและหัวใจ 1, หัวใจและปอด 1
รวมทั้งยังมีการปลูกถ่ายหรือจัดเก็บเนื้อเยื่อ รวมทั้งสิ้น 971 ราย มากที่สุดตามลำดับ คือ ผิวหนัง 559 ชิ้น, กระจกตา 265 ดวง, ลิ้นหัวใจ 125 ชิ้น, vascular conduit 2 ราย, กระดูกเส้นเอ็น 20 ราย
แต่มีผู้ลงทะเบียนรอรับการเปลี่ยนถ่ายอวัยวะ 6,634 ราย ซึ่งจากจำนวนนี้ได้รับการปลูกถ่ายอวัยวะเพียง 936 ราย หรือ 14.1% ของผู้ต้องการปลูกถ่ายอวัยวะทั้งหมด
ในปี พ.ศ. 2566 มีผู้แสดงความจำนงที่จะบริจาคอวัยวะขณะมีชีวิต 127,934 คน เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 22,191 คน หรือ 21%
เป็นที่น่ายินดีมากที่ในปี พ.ศ.2566 มีผู้บริจาคอวัยวะเพิ่มขึ้นและมีผู้ได้รับการปลูกถ่ายอวัยวะมากขึ้น แต่ถึงแม้จะเป็นที่พอใจในระดับหนึ่ง แต่ก็ยังมีงานที่ผู้ที่ทำทางด้านนี้จะต้องช่วยกันพัฒนางานให้มีการบริจาคอวัยวะจากผู้ที่มีสมองตายแล้วให้มากยิ่งขึ้นกว่านี้เพราะการปลูกถ่ายอวัยวะในปี พ.ศ. 2565 เป็นเพียง 14.1% ของผู้ที่ต้องการปลูกถ่ายอวัยวะทั้งหมด
ผู้ที่จะบริจาคอวัยวะมี 2 ประเภท คือ หนึ่ง ผู้ที่ยังมีชีวิตอยู่ ในร่างกายมีอวัยวะที่สามารถบริจาคได้ทั้งๆ ที่ผู้บริจาคยังมีชีวิตอยู่ 2 อวัยวะ นั่นก็คือ ไตและตับ ในร่างกายมนุษย์มีไต 2 ข้าง ถ้าไตยังทำงานดี ไตข้างเดียวก็สามารถทำให้มนุษย์มีชีวิตที่อยู่ได้อย่างปกติ อวัยวะอีกอันหนึ่งถึงแม้มีอันเดียว คือ ตับ แต่ตับสามารถถูกแบ่งครึ่งเอามาให้ผู้รอการปลูกถ่ายอวัยวะได้ ทั้งนี้เพราะตับมีความสามารถพิเศษที่จะงอกได้ ทั้งนี้ผู้บริจาคต้องเป็นญาติของผู้รับเท่านั้น และต้องมีความเข้ากันได้ของร่างกายระหว่างผู้บริจาคกับผู้รับ ซึ่งทางแพทย์จะต้องตรวจสอบอย่างละเอียด
ภาวะสมองตาย (ฺBrain Death) คืออะไร? คือภาวะที่แกนสมองถูกทำลายจนสูญเสียการทำงานอย่างสิ้นเชิงและถาวร ไม่สามารถรักษาให้ฟื้นคืนชีพได้อีก ทางการแพทย์จึงถือว่าเสียชีวิตแล้ว โดยสาเหตุที่ทำให้เกิดภาวะสมองตายมาจากการบาดเจ็บที่สมองอย่างรุนแรง เส้นเลือดแตกในสมอง ฯลฯ
โดยผู้ป่วยสมองตายที่ยังให้เครื่องช่วยหายใจอยู่นั้นจะยังคงมีออกซิเจนไหลเวียนในเลือด ทำให้เลือดสามารถไปเลี้ยงอวัยวะต่างๆ ในร่างกายให้ยังทำงานปกติได้ จึงสามารถนำอวัยวะของผู้ป่วยสมองตายไปปลูกถ่ายให้ผู้ป่วยที่จำเป็นต้องได้รับการปลูกถ่ายอวัยวะ
การวินิจฉัยสมองตายต้องกระทำโดยองค์กรคณะของแพทย์ไม่น้อยกว่า 3 คน ซึ่งต้องไม่ใช่แพทย์ผู้ทำการผ่าตัดปลูกถ่ายอวัยวะรายนั้นหรือแพทย์ที่ดูแลผู้ป่วยที่ต้องการอวัยวะไปปลูกถ่ายโดยต้องทำการตรวจ 2 ครั้ง ห่างกันไม่น้อยกว่า 6 ชั่วโมง และผู้อำนวยการโรงพยาบาลหรือผู้ได้รับมอบหมายเป็นลายลักษณ์อักษรจะต้องร่วมเป็นผู้รับรองการวินิจฉัยสมองตาย และเป็นผู้ลงนามรับรองการตายด้วย โดยในระหว่างที่ทีมผู้ประสานงานการปลูกถ่ายอวัยวะดำเนินการให้มีการบริจาคอวัยวะ แพทย์ควรให้การดูแลผู้ป่วยสมองตายตามแนวทาง เพื่อเป็นการรักษาอวัยวะเหล่านั้นให้พร้อมสำหรับการนำไปปลูกถ่าย
ญาติต้องทำอย่างไรเมื่อผู้ป่วยถูกวินิจฉัยสมองตาย
1. กรณีที่ผู้เสียชีวิตได้แสดงเจตจำนงบริจาคอวัยวะไว้ญาติควรโทรแจ้งศูนย์รับบริจาคอวัยวะสภากาชาดไทยทันทีหลังผู้บริจาคเสียชีวิต โดยแจ้งได้ที่เบอร์ โทร. 1666 หรือ 02-2564045-6ซึ่งแพทย์จะตรวจร่างกายเพื่อประเมินสภาพการทำงานของอวัยวะว่าเหมาะสมสำหรับนำไปปลูกถ่ายให้แก่ผู้ป่วยอื่นหรือไม่ จากนั้นจะผ่าตัดนำอวัยวะออก (ใช้เวลาประมาณ 2-4 ชั่วโมง) ภายหลังผ่าตัดแล้วแพทย์จะตกแต่งร่างให้คงเดิม และมอบร่างคืนให้ญาตินำกลับไปประกอบพิธีทางศาสนา
2. กรณีผู้เสียชีวิตไม่ได้แสดงเจตจำนงบริจาคอวัยวะ พยาบาลผู้ประสานงานจะแจ้งรายละเอียดเกี่ยวกับการบริจาคอวัยวะ ซึ่งญาติสามารถตัดสินได้ว่าจะยินยอมบริจาคอวัยวะหรือไม่ ซึ่งหากญาติยินยอมบริจาคอวัยวะก็จะเข้าสู่กระบวนการเดียวกันกับข้อที่หนึ่ง
นพ.พินิจ กุลละวณิชย์
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี