ถ้าเรามีพันธุกรรมที่เอื้ออำนวยต่อการเป็นโรคเบาหวาน (Diabetes Mellitus, DM) เช่น พ่อ แม่ ปู่ ย่า ตา ยาย เราเป็น ถ้าเราไม่ระวังตัว เรื่องอาหารการกิน เราจะมีโอกาสเป็นโรค DM ได้ง่าย อาจเป็นตั้งแต่อายุน้อย แต่ถ้าเรามีพฤติกรรมที่เหมาะสมตั้งแต่เด็ก เราอาจไม่เป็น DM หรือเป็นเมื่อมีอายุมาก หรือเป็นแต่ไม่รุนแรง
ฉะนั้นทุกท่านจึงควรเริ่มต้นด้วยการไม่ใส่น้ำตาลบนโต๊ะอาหารหรือนอกครัวเลย น้ำตาลมีมากพอแล้วในสารอาหาร แม้แต่การปรุงอาหารก็ไม่ควรใส่น้ำตาลมาก การที่ท่านไม่ใส่น้ำตาลต่างหากเลยบนโต๊ะอาหาร หรือในชา กาแฟ ท่านก็ยังจะได้รับน้ำตาลมากพอแล้วในสารอาหาร และน้ำตาลที่ท่านอาจใส่ในการปรุงอาหาร
รวมทั้งน้ำตาลเทียมด้วยที่ท่านไม่ควรกิน
น้ำตาลถ้ากินมากไปและไม่ได้ใช้ รวมทั้งแป้ง ไขมัน สารอาหารต่างๆ ที่ให้พลังงาน จะทำให้เราอ้วนง่าย พออ้วนแล้วเรามีสิทธิ์ที่จะเป็นโรคต่างๆ มากมาย เช่น ความดันโลหิต เบาหวาน โรคหลอดเลือดหัวใจ สมอง ไขมันในเลือดสูง นอนกรนและหยุดหายใจ กระดูกเสื่อม และ โรคมะเร็ง 13 ชนิด ฯลฯ
องค์การอนามัยโลกแจ้งว่าโรคอ้วนมีความเสี่ยงต่อโรคมะเร็งถึง 13 ชนิด คือ มะเร็งลำไส้ใหญ่ เต้านม ตับ ตับอ่อน หลอดอาหาร กระเพาะอาหาร ถุงน้ำดี ต่อมลูกหมาก มดลูก รังไข่ ไทรอยด์ multiple myeloma (โรคของระบบเลือด) และ meningioma (สมอง) มะเร็งที่มีความสัมพันธ์กับโรคอ้วนมากที่สุด คือ มะเร็งเต้านม ตับ ลำไส้ใหญ่
ส่วนเกลือ หรือ sodium, Na นั้นก็เหมือนน้ำตาล เกลือมีความสำคัญต่อความเป็นอยู่ของมนุษย์มาก เราจะขาดเกลือไม่ได้ เกลือมีหน้าที่รักษาความเหมาะสมของปริมาณพลาสมาในร่างกาย ความเป็นกรดด่าง ช่วยในการส่งข้อมูล (transmission) ของเส้นประสาท การทำงานของเซลล์ในร่างกาย ทำให้กล้ามเนื้อบีบและหดตัว แต่ความต้องการเกลือของมนุษย์ต่อวันมีน้อยมาก คือ ประมาณ 300-500 มก. ของ sodium เท่านั้น เกลือมีสาร 2 ตัว คือ Na, sodium 40% และ chloride CL 60% เกลือมีอยู่ในอาหารทุกชนิดในธรรมชาติ
เกลือมีประโยชน์ในการช่วยทำให้เก็บอาหารไว้ได้นาน เพราะเชื้อโรคไม่สามารถเจริญเติบโตในอาหารที่มีความเค็มมากได้ แต่ถ้ามนุษย์กินเกลือมากไปจะมีโทษได้ ทำให้นำไปสู่โรคความดันโลหิตสูงซึ่งเป็นบ่อเหตุของโรคหลอดเลือดหัวใจและสมองได้ รวมทั้งมะเร็งของกระเพาะอาหาร โรคอ้วน กระดูกบางพรุน (osteoporosis) เพราะจะทำให้มีการดึง calcium ออกมาจากกระดูก WHO แนะให้ผู้ที่มีอายุ 14 ปีขึ้นไป กิน Na, sodium ไม่เกิน 2,000 มิลลิกรัม หรือ 5 กรัมเกลือ หรือ 1 ช้อนชาเกลือ หรือน้ำปลาไม่เกิน 3 ช้อนชา CDC ของอเมริกา and AHA (American Heart Association)ต่างก็แนะไม่ให้กิน Na เกิน 2,300 มก./วันเช่นกัน (ความต้องการ Na ของร่างกายมีเพียงไม่เกิน 500 มก.ต่อวัน)
เมื่อกินเกลือมากไป ไตจะมีปัญหาในการจัดการกับเกลือที่มีมากไปในร่างกาย ทำให้ร่างกายต้องเก็บน้ำไว้เพิ่มขึ้น เพื่อช่วยลดความเข้มข้นของเลือด ทำให้ร่างกายมีปริมาณน้ำในระบบหมุนเวียนโลหิตมากขึ้น ทำให้มีผลต่อหัวใจ สมอง หลอดเลือดใหญ่ ไต ฯลฯ ถึงแม้อาจไม่ทำให้มีความดันโลหิตสูงขึ้น
อาหารที่มีเกลือมาก คือ อาการแปรรูป อาหารสำเร็จรูป 75% ของเกลือในอเมริกามาจากอาหารเหล่านี้ 25% เท่านั้นที่มาจากการใส่เกลือในครัวหรือบนโต๊ะอาหาร อาหารบางอย่างมีเกลือไม่มาก แต่ถ้ากินเยอะก็จะทำให้ร่างกายได้รับเกลือมาก เช่น ขนมปัง พิซซ่าแซนด์วิช แฮม ซาลามิ เบคอน ฯลฯ ซุป พวกของกินเล่นทั้งหลาย เช่น มันทอด ข้าวโพดคั่ว เนยแข็ง ไข่ ฯลฯ
Sodium and potassium (K) มีฤทธิ์ตรงกันข้าม sodium ทำให้ความดันโลหิตสูง potassium จะทำให้ความดันโลหิตต่ำ ด้วยการคลายตัวของหลอดเลือด และช่วยขับไล่ sodium ออกจากร่างกาย ร่างกายมนุษย์ต้องการ potassium วันละ 3,510 มก. (หรือ 90 mmol/วัน) แต่ชาวอเมริกากิน K เพียง 2,900 มก.ต่อวัน อาหารที่มี K สูง คือ ผัก เช่น มะเขือเทศ ผลไม้ เช่น น้ำมะพร้าว
40 กว่าเปอร์เซ็นต์ของชาวอเมริกันมีความดันโลหิตสูง อัตรานี้จะสูงขึ้นเรื่อยๆ 1 ใน 10 ของเด็กอายุระหว่าง 8-12 ปี และ 1 ใน 8ของเด็กวัย 13-17 ปี มีความดันโลหิตสูง ประชากรไทยประมาณ 11 ล้านคน มีโรคความดันโลหิตสูง ซึ่งครึ่งหนึ่งไม่ทราบว่าตัวเองมีโรคนี้ (จึงควรวัดเป็นระยะๆ) และหรือการรักษายังไม่เข้าเป้า
มีประชากรในโลกตายจากกินเกลือมากไปปีละ 1.89 ล้านคน!?
การลดการกินเกลือเป็นวิธีการป้องกันการเสียชีวิตที่คุ้มค่าที่สุด
ลงทุน 1 สหรัฐดอลลาร์จะได้คืน 12 สหรัฐดอลลาร์ เป็นอย่างน้อย
ในปี ค.ศ.2013 WHO ประกาศว่า ต้องการลดเกลือลง 30% ภายใน ค.ศ.2025 แต่ท่าทางจะไม่เข้าเป้า
ผมจึงขอวิงวอนให้ทุกๆ ท่านโปรดอย่าซื้ออาหารสำเร็จรูป อาหารแปรรูป กินมากไป รวมทั้งพยายามใส่เกลือ น้ำปลา ซีอี๊ว ให้น้อยที่สุดในการปรุงอาหาร และพยายามไม่มีอะไรเค็มบนโต๊ะอาหารเลย เช่น เกลือ น้ำปลา ซีอี๊ว
ถ้าท่านไม่กินเค็ม ไม่กินหวาน และแถมด้วยการออกกำลังกายให้ดัชนีมวลกาย (BMI-body mass index) และรอบพุงอยู่ในเกณฑ์ปกติ ท่านแทบจะไม่เป็นเบาหวาน ความดันโลหิตสูงเลย ซึ่งสองโรคนี้จะนำไปสู่ภาวะไตวาย และการฟอกเลือด และเปลี่ยนถ่ายไตในที่สุด
หัดไม่กินเค็ม ไม่กินหวาน ร่างกายจะค่อยๆ ปรับตัวจนชินได้เองครับ ขอให้ทุกๆ คนโชคดีด้วยพฤติกรรมของตัวเอง
นพ.พินิจ กุลละวณิชย์
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี