เมื่อต้นดือนสิงหาคมที่ผ่านมา มีการรายงานข่าวซึ่งเป็นที่ฮือฮากันมากในโลกโซเชียล ว่าพบการระบาดของโรคที่เกิดจาก “ไวรัสเห็บ” หรือ Severe Fever with Thrombocytopenia Syndrome (SFTS) ในมณฑลเจียงซู ทางภาคตะวันออกของประเทศจีน โดยพบว่ามีผู้ติดเชื้อถึง 37 ราย เสียชีวิตไปถึง 9 ศพ และต่อมาก็พบว่าเชื้อแพร่กระจายไปยังมณฑลอันฮุย ซึ่งมียอดผู้ติดเชื้ออีกกว่า 20 ราย หลายคนที่เลี้ยงสุนัขในบ้านเราจึงเกิดความหวาดวิตกว่า มีความเป็นไปได้แค่ไหนที่ “ไวรัสเห็บ” จากจีนนั้น จะติดต่อสู่คนไทย และจะกลายเป็นปัญหาด้านการสาธารณสุขในบ้านเราหรือไม่
วันนี้ผมก็มีข้อมูลเรื่องนี้มาฝาก โดย รศ.น.สพ.ดร.สนธยา เตียวศิริทรัพย์ หัวหน้าหน่วยปรสิตวิทยาและหัวหน้าหน่วยวิจัยโรค
ติดเชื้อในสัตว์ที่มีพาหะนำโรค และผู้ช่วยคณบดี คณะสัตวแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ให้ข้อมูลเกี่ยวกับโรคนี้ไว้น่าสนใจครับ
โรคไวรัสเห็บที่ว่านี้คืออะไร
โรคติดเชื้อ Severe Fever with Thrombocytopenia Syndrome (SFTS) เป็นโรคอุบัติใหม่ ที่มีสาเหตุมาจากการติดเชื้อไวรัสที่มีชื่อเดียวกันกับชื่อโรคคือ Severe Fever with Thrombocytopenia Syndrome Virus (SFTSV) เป็นเชื้อไวรัสในตระกูล “Bunyavirus” เป็นกลุ่มที่มีสารพันธุกรรมRNA ติดเชื้อจากคนสู่คนได้ผ่านระบบทางเดินหายใจ ทางเลือดและน้ำมูก โดยมีเห็บเป็นตัวพาหะ
พบการระบาดครั้งแรกในปี พ.ศ. 2552 ทางตอนเหนือและตอนกลางของประเทศจีน นอกจากนี้ยังพบผู้ป่วยและผู้เสียชีวิตในประเทศญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ไต้หวัน และเวียดนามด้วย โดยมีอัตราการเสียชีวิตของผู้ป่วยติดเชื้ออยู่ที่ร้อยละ 12-30
อาการที่พบเป็นอย่างไร
อาการส่วนใหญ่ที่พบผู้ป่วย ได้แก่ มีไข้สูง อาเจียน ท้องเสีย การทำงานของอวัยวะต่างๆ เสียไป เกล็ดเลือดต่ำ เม็ดเลือดขาวต่ำ และมีค่าของเอนไซม์ตับเพิ่มสูงขึ้น
พาหะนำโรคนี้คือเห็บชนิดใด เป็นเห็บในสุนัขบ้านที่เราเลี้ยงกันอยู่ใช่หรือไม่
พาหะนำโรคที่สำคัญของโรคนี้คือ เห็บชนิด Haemaphysalis longicornis หรืออาจเรียกว่า Asian longhorned tick หรือ bush tick หรือ cattle tick ซึ่งเป็นเห็บในปศุสัตว์และในป่า ที่พบได้ในแถบเอเชียตะวันออก และเอเชียกลาง ได้แก่ ประเทศจีน เกาหลี และญี่ปุ่น
(เห็บชนิดนี้ เป็นเห็บคนละชนิดกับเห็บที่พบในตัวสุนัขซึ่งมีชื่อว่า Rhipicephalus sanguineus)
การติดต่อเชื้อไวรัสสู่คนเกิดขึ้นได้อย่างไร
พบว่าเชื้อไวรัสนี้ชนิดนี้สามารถถ่ายทอดจากแม่เห็บที่ติดเชื้อไปยังไข่ที่อยู่ในมดลูก (Transovarial transmission) ได้อีกด้วย และยังพบว่า เห็บระยะตัวอ่อนที่ได้รับเชื้อ เมื่อพัฒนาเป็นเห็บระยะกลางวัยและระยะตัวเต็มวัยแล้ว ก็จะยังพบการติดเชื้อไปได้เรื่อยๆ (Transstadial transmission) ด้วย จึงทำให้เกิดการคงอยู่ของเชื้อในประชากรของเห็บในธรรมชาติอยู่ และในปัจจุบัน (ปี พ.ศ. 2563) ยังพบการติดต่อระหว่างคนสู่คนได้อีกด้วย โดยมีรายงานการติดเชื้อจากผู้ป่วยที่เสียชีวิตและมีระดับของเชื้ออยู่ในกระแสเลือดค่อนข้างสูง จึงเกิดการติดเชื้อไปยังคนอื่นที่มาสัมผัสกับเลือดจากผู้เสียชีวิตรายนี้
สำหรับสัตว์ที่อาจจะมีบทบาทในการเป็นสัตว์รังโรคในธรรมชาตินั้น ยังไม่สามารถระบุได้อย่างแน่ชัดแม้ว่าจะมีการตรวจพบเชื้อหรือระดับภูมิคุ้มกันต่อเชื้อในสัตว์หลายชนิดก็ตาม
ในประเทศไทยเคยมีผู้ป่วยด้วยโรคนี้หรือไม่
อย่างไรก็ตาม สำหรับในประเทศไทยนั้น ยังไม่เคยมีรายงานการติดเชื้อชนิดนี้มาก่อน รวมทั้งเห็บที่เป็นพาหะในการนำโรคที่สำคัญในประเทศจีนนั้น ก็ไม่พบในประเทศไทยอีกด้วย
ผู้เลี้ยงสัตว์ควรระมัดระวังโรคนี้มากน้อยเพียงใด
เจ้าของสัตว์เลี้ยงในบ้านเราอาจยังไม่ต้องกังวลมากนัก ถึงแม้ว่าในประเทศไทยจะมีเห็บจำนวนมากในสุนัขก็ตาม เนื่องจากเห็บที่พบในสุนัขในประเทศไทยนั้น จะเป็นเห็บที่มีชื่อว่า Rhipicephalus sanguineus ซึ่งยังไม่เคยมีรายงานการติดเชื้อ SFTSV ในเห็บชนิดนี้มาก่อน ดังนั้นอาจจะลดความกังวลลงไปได้
แต่สำหรับในกรณีของคนที่ชอบออกไปเที่ยวตามป่านั้น มีความจำเป็นที่ต้องแต่งกายให้มิดชิด เพื่อป้องกันปัญหาการถูกกัดโดยเห็บป่าและอาจจำเป็นต้องพ่นด้วยสารเคมีที่มีฤทธิ์ในการขับไล่เห็บด้วย ที่สำคัญเมื่อกลับมาที่พัก ก็ต้องสำรวจตามร่างกายแต่ละส่วนว่ามีเห็บติดมาด้วยหรือไม่ หากปฏิบัติเช่นนี้แล้ว ก็น่าจะทำให้ผู้ที่ชื่นชอบกับการท่องเที่ยวในป่าปลอดภัยจากการโดนเห็บกัด รวมทั้งปลอดจากเชื้อต่างๆ ที่อาจจะถ่ายทอดมาจากเห็บได้ครับ
แต่อย่างไรก็ตาม สำหรับผู้เลี้ยงสุนัขแล้ว การกำจัดปรสิตภายนอกโดยเฉพาะเห็บและหมัด ถือเป็นสิ่งที่จำเป็น เพราะการที่สุนัขมีเห็บก็จะส่งผลเสียต่อสุขภาพของสุนัขโดยตรง ได้แก่ การคันจากโรคผิวหนังที่เกิดจากเห็บกัด รวมถึงทำให้เกิดโรคพยาธิในเม็ดเลือดซึ่งส่งผลให้เกิดปัญหาโลหิตจาง และเกล็ดเลือดต่ำ ซึ่งทำให้สุนัขตายได้ และนอกจากนี้ยังอาจก่อให้เกิดปัญหาการแพ้ที่ผิวหนังในกรณีที่ผู้เลี้ยงถูกเห็บกัดโดยบังเอิญด้วย ดังนั้นการป้องกันและการกำจัดเห็บในสุนัขจึงควรทำเป็นประจำตามโปรแกรมของสัตวแพทย์ เพื่อการมีสุขภาพที่ดีของทั้งสุนัขและผู้เลี้ยงครับ
ผศ.น.สพ.ดร.ทิลดิสร์ รุ่งเรืองกิจไกร
ฝ่ายประชาสัมพันธ์
คณะสัตวแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี