มีหนังสือ 2023 Harvard Health Annual ของ Harvard เกี่ยวกับโรคความดันโลหิตสูงและไขมันที่มีประโยชน์ ผมจึงขอนำมาเล่าสู่กันฟังครับ ความดันโลหิตสูง (high blood pressure, hypertension) และไขมันในเลือดสูง (hyperlipidaemia) เป็นส่วนสำคัญของปัจจัยเสี่ยงต่างๆ ของการทำให้หลอดเลือดทั่วร่างกายตีบและอุดตัน ซึ่งมีปัจจัยเสี่ยงต่างๆ เหล่านี้คือ กรรมพันธุ์ เพศชาย สูงอายุ การสูบบุหรี่ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง เบาหวาน โรคอ้วน การดื่มแอลกอฮอล์มากไป การไม่ออกกำลังกาย หรือออกไม่พอ และความเครียด ความกดดัน การนอนไม่หลับ ฯลฯ
โรคความดันโลหิตสูงเป็นโรคที่พบบ่อยทั่วโลก เป็นสาเหตุการเสียชีวิตของชาวโลกถึง 19% (WHO) มีคนไทยประมาณ 11 ล้านคนที่มีความดันโลหิตสูง และประมาณครึ่งหนึ่งไม่ทราบว่าตนเองมีความดันโลหิตสูง หรือทราบ แต่ผลการรักษายังไม่ดีพอ โรคความดันโลหิตสูงในระยะแรกๆ อาจไม่มีอาการอะไรเลย ทุกๆ คนจึงควรตรวจวัดความดันโลหิตเป็นระยะๆ โดยเฉพาะถ้ามีประวัติว่าคนในครอบครัวเป็นโรคนี้ ทุกๆ บ้านควรมีเครื่องวัดความดันโลหิตแบบดิจิทัล และวัดหลังจากนั่งพักแล้ว 10 นาที ความดันโลหิต มี 2 ระดับ ระดับบนเรียกว่าsystolic ระดับล่าง diastolic
ถ้าตรวจพบว่ามีความดันโลหิตสูง และหรือชีพจรเต้นไม่เป็นจังหวะ ควรนึกถึงโรคนอนกรน และหยุดหายใจ และควรไปปรึกษาแพทย์
ในปี ค.ศ.2017 (พ.ศ.2560) American Heart Association (AHA สมาคมแพทย์โรคหัวใจของอเมริกา) ได้ออกแนวทางเวชปฏิบัติใหม่เกี่ยวกับระดับความดันโลหิต ดังนี้
ถ้าระดับความดันโลหิตต่ำกว่า 120/80 (คือ systolic 120,diastolic 80)ถือว่าปกติ แต่ก็ควรมีพฤติกรรมชีวิตประจำวันที่ดีเพื่อป้องกัน ด้วยการออกกำลังกาย คุมอาหารให้น้ำหนักตัวอยู่ในเกณฑ์ปกติ ฯลฯ
ระดับ 120/80-129/80 ถือว่าสูงกว่าปกติเล็กน้อย ควรเน้นเรื่องพฤติกรรม เช่น ลดน้ำหนัก ออกกำลังกาย อาหาร อย่างจริงจัง ฯลฯ
มีข้อมูลทางการแพทย์ว่าถ้าลดระดับความดันโลหิต systolic (บน) ได้ 5 มม.ปรอท จะลดความเสี่ยงต่อการเกิดหัวใจวาย (heart failure) และ stroke (อัมพาตจากโรคหลอดเลือดสมอง) ได้ 13%
ระดับ 130/80 mg.-139/89 ถือว่าเป็นโรคความดันโลหิตระดับ 1 (stage I) ซึ่งการใช้ยาลดความดันหรือไม่ อยู่ที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจ หรืออัมพาต น้อยหรือมากกว่า 10% ภายใน 10 ปี ถ้าน้อยกว่า อาจไม่ต้องกินยา ถ้ามากกว่าควรกินยา ฯลฯ (ขึ้นอยู่กับแพทย์ที่จะพิจารณา)
ระดับความดันโลหิต 140/90 ถือว่าเป็นโรคความดันโลหิตระดับ 2 (Stage II) ซึ่งนอกจากมีพฤติกรรมชีวิตที่เหมาะสมแล้ว มักต้องกินยา 2 ตัวต่างชนิดกัน การกินยา 2 ตัวต่างชนิดกัน จะได้ผลดีกว่ากินยาตัวเดียวในปริมาณมาก และเพื่อเป็นการป้องกันภาวะแทรกซ้อนของการกินยาตัวเดียวในปริมาณที่มาก
สำหรับผู้ใหญ่ องค์การแพทย์แนะนำให้มีเป้าให้ความดันโลหิตอยู่ต่ำกว่า 130/80 มม.ปรอท แต่เดิมคิดว่าระดับนี้อาจจะเป็นระดับความดันที่ต่ำไปสำหรับผู้สูงอายุ รวมทั้งเกรงว่าจะมีภาวะแทรกซ้อนจากยา ถ้าต้องกินยามากเพื่อที่จะให้ลดระดับความดันมาถึงระดับนี้ แต่ข้อมูลระยะหลังพบว่า การลดความดันให้ต่ำลงระดับนี้ในผู้สูงอายุ ไม่มีปัญหาทางด้านสภาวะแทรกซ้อนของยา และยังมีผลที่ดีกว่าด้วยโดยมีการศึกษาชาวจีน 8,500 คน ที่มีอายุระหว่าง 60-80 ปี ที่มีความดันโลหิตสูง กลุ่มหนึ่งให้การรักษาเพื่อให้มีระดับ systolic อยู่ระหว่าง 130-150 mg. อีกกลุ่มหนึ่งให้อยู่ที่ 110-130 ผลปรากฏว่าภายใน 1 ปีกลุ่มแรกระดับ systolic อยู่ที่ 135 มม. กลุ่มที่ 2 อยู่ที่ 127 มม. หลังจากการติดตามผล 3 ปี พบว่ากลุ่มแรก (standard) มีโรคอัมพาต หัวใจวายหลอดเลือดหัวใจขาดเลือด และ atrial fibrillation (หัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะ) ที่ 4.6% แต่กลุ่มที่ 2 มีโรคต่างๆ นี้เพียง 3.6% และผลข้างเคียงเท่ากันใน 2 กลุ่ม ผลของการศึกษาใน USA มีผลคล้ายๆ กัน ถึงแม้มีเป้าที่ systolic ที่ต่ำกว่า คือ 120 มม.ปรอท และถ้าดูเฉพาะในกลุ่มผู้ที่มีอายุ 75 ปีขึ้นไป ผลการลดความดันถึงระดับนี้ยิ่งจะดีขึ้นอย่างชัดเจน ผลข้างเคียงของยาเท่ากันในกลุ่มนี้และกลุ่มที่ตั้งเป้าไว้ที่ 140 มม.ปรอท ฉะนั้นการลดความดันลงมากตามนี้ในผู้สูงอายุจะได้ผลดี และไม่มีปัญหาจากภาวะแทรกซ้อน
สำหรับโคเลสเตอรอลในเลือดประกอบด้วย cholesterol รวม (total cholesterol ซึ่งควรอยู่ต่ำกว่า 200 มก.) triglyceride(ต่ำกว่า 150 มก.) HDL (high density lipoprotein) ซึ่งเป็นไขมันที่ดี ช่วยป้องกันโรคหัวใจ (ควรสูงกว่า 40 มก.ในชาย และสูงกว่า50 มก. ในหญิง) และ LDL (low density lipoprotein) ซึ่งเป็นไขมันที่ไม่ดี (ควรต่ำกว่า 100 มก.)
แนวทางเวชปฏิบัติ ปี 2018 พบว่าระดับที่ดีที่สุดของ cholesterol LDL ควรอยู่ที่ระดับต่ำกว่า 100 มก. ระดับ 100-129 มก. ถือว่ายอมรับได้ ระดับ 130-159 มก. ถือว่าเกือบจะสูงไปแล้ว (borderline high),160-189 มก. ถือว่าสูง มากกว่า 190 มก. ถือว่าสูงมาก
การที่จะให้ยากลุ่ม statin ไม่ได้ขึ้นอยู่ที่ระดับโคเลสเตอรอลเท่านั้น แต่ขึ้นอยู่กับอายุ สภาวะหัวใจ ความเสี่ยงที่จะเกิดโรคหัวใจ อัมพาตใน 10 ปีข้างหน้า และความเห็นของตัวผู้ป่วยเอง
เช่น ผู้ป่วยที่มีระดับ LDL ที่ 140 แต่ออกกำลังกายสม่ำเสมอ และไม่มีปัจจัยเสี่ยงต่อโรคหัวใจ อาจยังไม่ต้องกินยา แต่ผู้ที่เป็นโรคหัวใจหรือมีความเสี่ยง ควรมีระดับ LDL ที่ต่ำกว่า 70 มก. ซึ่งมักต้องใช้ยา statin ในปริมาณมาก และอาจต้องใช้ยากลุ่มอื่นเพิ่มด้วย
เป้าหมาย คือ ทั้งลดระดับไขมันในเลือด และป้องกันการสะสมของไขมันในหลอดเลือด เพื่อป้องกันโรคหลอดเลือดหัวใจและสมองอุดตัน
การดูแลระดับความดันโลหิตและไขมันในเลือดคล้ายๆ กัน คือ การออกกำลังกาย และคุมอาหาร โดยมีเป้าหมายให้น้ำหนักตัว BMI (body mass index ดัชนีมวลกาย) อยู่น้อยกว่า 23 ขนาดพุงอยู่ในเกณฑ์ปกติ คือ ชาย หญิง ไม่เกิน 90 ซม. 80 ซม. ตามลำดับ ไม่กินเค็ม หวาน มัน
ฉะนั้นทุกๆ คนควรออกกำลังกาย คุมอาหารที่ถูกต้อง อย่างสม่ำเสมอ เพื่อป้องกันโรคความดันโลหิตและไขมันในเลือดสูง ซึ่งยังจะช่วยแก้ปัญหาโรคต่างๆ ในกลุ่มโรคไม่ติดต่อ (NCDs) อีกด้วย
นพ.พินิจ กุลละวณิชย์
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี