๒๔ มิถุนายนของทุกปี มีเปิดเวทีแสดงคิดเห็นในหมู่นักประชาธิปไตย ถกเถียงกันไม่ตกผลึก เรื่องผู้ก่อการเปลี่ยนการปกครองที่เรียกว่า “คณะราษฎร” ว่าเป็นวีรชนผู้อภิวัฒน์ชาติ หรือเป็น ทรราชปล้นแผ่นดิน ผู้ที่ศรัทธาคณะราษฎรก็ชื่นชมว่า เป็นผู้สถาปนาประชาธิปไตย ฝ่ายที่ไม่ชอบใจก็โต้เถียงว่าเป็นทรราช ผู้บังอาจคุกคามสถาบันกษัตริย์ อ้างคำว่า “อภิวัฒน์” มาปล้นพระราชอำนาจ จนทายาทและพระบรมวงศานุวงศ์ในรัชกาลที่ ๕ ตกอยู่ในภาวะวังแตกสาแหรกขาด
ฝ่ายที่ไม่ศรัทธาเชื่อว่า คณะราษฎรฉวยโอกาสปฏิวัติ แล้วประกาศใช้รัฐธรรมนูญตัดหน้า ทั้งๆ ที่รู้ว่าพระมหากษัตริย์ได้เตรียมการพระราชทานรัฐธรรมนูญ เพื่อเกื้อหนุนการปฏิรูปอยู่ก่อนแล้ว ถ้าได้ศึกษาประวัติศาสตร์ปราศจากอคติจะพบว่า ในหลวงรัชกาลที่ ๕ ทรงพระปรีชาสามารถ ปฏิรูปประเทศชาติในทุกด้าน ได้เตรียมการร่างรัฐธรรมนูญตั้งแต่ปี ๒๔๕๐
แต่รัฐธรรมนูญในยุคนั้น มีผู้ถวายงานทัดทานชะลอการพระราชทานไว้ ด้วยเหตุผลว่าคนส่วนใหญ่ยังไร้การศึกษา อ่านไม่ออกเขียนไม่ได้ ถ้าเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นประชาธิปไตย เกรงว่าคนส่วนใหญ่อาจถูกนักฉวยโอกาสแย่งชิงอำนาจประชาธิปไตยไปอยู่ที่คนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง จึงจำเป็นต้องให้การศึกษาติดอาวุธทางปัญญาให้ประชาชน ก่อนพระราชทานรัฐธรรมนูญ ปกครองประเทศ
คำแนะนำผู้ถวายคำปรึกษามีเหตุผลควรพิจารณา เมื่อพบว่าในพ.ศ.๒๔๔๑ ประเทศไทยมีประชากรประมาณ ๑๐ ล้านคน หนึ่งในสามของจำนวนนั้นยังเป็นทาส ไม่มีโอกาสศึกษาหาความรู้ เพราะทาสที่ต้องรับใช้นายทั้งปีทั้งชาติ นอกจากทาส ยังมีระบบไพร่ที่ใช้กันต่อเนื่องมาตั้งแต่ปลายกรุงศรีอยุธยา ที่ต้องสะดมผู้ชายเป็นไพร่พลในสงคราม และรับใช้ราชการครึ่งหนึ่งของชีวิต คือ ปีละหกเดือน เมื่อนำตัวเลขทาสและไพร่มารวมกันพบว่ากว่าร้อยละ ๕๐ ของประชากรไม่มีโอกาสเข้าถึงการศึกษาที่มีอยู่ตามวัดวาอาราม
รัชกาลที่ ๕ ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณว่า การปฏิรูปการปกครองต้องดำเนินไปพร้อมๆ กับการพัฒนาคนจึงริเริ่มเลิกทาส เลิกระบบไพร่ แต่ต้องใช้เวลาฟันฝ่าอุปสรรคต่างๆ นานา กว่า ๑๗ ปี เลิกทาสได้สำเร็จใน พ.ศ.๒๔๕๑ เมื่อทาสและไพร่ได้เป็นไท มีอิสระในการทำมาหากิน ตลอดถึงได้ร่ำเรียนศึกษา ด้วยความใส่พระหฤทัยในการศึกษา รัชกาลที่ ๕ ได้สร้างโรงเรียน สถาบันศึกษาขึ้นมากมาย และพระราชกรณียกิจยิ่งใหญ่ คือ ทรงส่งเจ้านายและข้าราชบริพาร ตลอดถึงข้าราชการไปศึกษาในประเทศยุโรป สิ้นรัชสมัยของพระองค์แล้ว รัชกาลที่ ๖ ก็ทรงสานงานด้านส่งคนไปศึกษาต่างประเทศต่อ ว่ากันว่าในรัชกาลที่ ๕ และรัชกาลที่ ๖ มีคนไทยได้ทุนไปเรียนในยุโรปถึง ๕๑๐ คน
รัชกาลที่ ๖ นอกจากสานต่อด้านการศึกษาแล้วยังได้สานต่อเตรียมการพระราชทานรัฐธรรมนูญพระองค์ได้สร้างดุสิตธานีเป็นเมืองจำลองการปกครองประชาธิปไตย จัดตั้งสภาอภิรัฐมนตรี มีคณะองคมนตรีเป็นที่ปรึกษาราชการ แต่บังเอิญเกิดสงครามโลก เรื่องรัฐธรรมนูญ
ประชาธิปไตยซาๆ ลงไป จนถึงรัชสมัยพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๗ แผนการพระราชทานรัฐธรรมนูญทำกันอย่างเข้มข้นจนมีกระแสข่าวจะพระราชทานรัฐธรรมนูญตั้งแต่เดือนมี.ค. และเม.ย. ๒๔๗๕ แต่กระแสพระราชทานรัฐธรรมนูญได้เกิดขึ้นพร้อมๆ กับข่าวลือการปองร้ายพระมหากษัตริย์
ในตอนย่ำรุ่งวันที่ ๒๔ มิ.ย. ๒๔๗๕ ระยะเวลาไม่ถึง ๒๔ ปี หลังจากเลิกทาสให้ประชากรเป็นไท เพื่อเตรียมตัวเข้าสู่ระบอบประชาธิปไตย ไม่ถึง 30 ปีที่พระมหากษัตริย์ ส่งคนไปเรียนต่างประเทศเพื่อให้กลับมาช่วยปฏิรูปประชาธิปไตย นักเรียนนอกกลุ่มหนึ่งสมคบกับทหารเพียงหยิบมือเดียว หลอกนักเรียนทหารออกมาใช้เป็นฐานกำลังยึดอำนาจ จับพระราชบุตร พระราชนัดดา พระบรมวงศานุวงศ์ ในรัชกาลที่ ๕ เป็นตัวประกันบีบคั้นให้พระมหากษัตริย์ปฏิบัติตามคำขาดของคณะราษฎร
คณะผู้ก่อการจึงถูกเรียกว่าเป็นคนเนรคุณตั้งแต่วันยึดอำนาจ เมื่อพล.ท.ประยูร ภมรมนตรี หนึ่งในเจ็ดผู้ก่อการ เข้าเฝ้ากรมพระนครสวรรค์วรพินิจ ในพระที่นั่งอนันตสมาคม ซึ่งผู้ยึดอำนาจใช้เป็นที่กักขังตัวประกัน เมื่อเห็นหน้าพล.ท.ประยูร พระองค์ตรัสว่า “ประยูร แกเอากับเขาด้วยจริงๆ พระยาอธิกรประกาศ บอกฉันไม่เชื่อ ฉันทำขวัญให้แกเมื่อเกิด ฉันเลี้ยงแกมาแต่เด็ก โกรธที่ฉันไม่ไปเผาศพพ่อแกใช่ไหม”และสำทับต่อว่า “แกคงรู้จักโรคเบียดเปียมารา และกันตอง เพื่อนน้ำสาบานในฝรั่งเศสดีแน่ ในที่สุดก็เอากิโยตินเฉือนคอกันทีละคน จำได้ไหม ฉันสงสาร ฉันเลี้ยงแกมา นี่เป็นขบถ รอดจากอาญาแผ่นดินไม่ถูกตัดหัว แต่จะถูกพวกเดียวกันฆ่าตายแกจำฉันไว้..”**(จากหนังสือเบื้องแรกประชาธิปตัย)
พล.ท.ประยูรเขียนเล่าว่า ขณะที่กรมพระนครสวรรค์ฯ กำลังตรัสอยู่ พอดีหลวงสินธุสงครามเปิดประตูเข้ามา ยื่นใบปลิวที่หลวงประดิษฐ์มนูธรรมเป็นผู้เขียนมาให้ พออ่านถึงบรรทัดสุดท้าย รู้สึกเลือดขึ้นหน้า “คำทำนายของกรมพระนครสวรรคฯรับสั่งหยกๆ ว่า พวกแกต้องฆ่ากันตายพลันเป็นความจริงขึ้นแล้ว คือหลวงประดิษฐ์ฯ ได้เขียนข้อความไว้ในวรรคสุดท้ายของคำประกาศยึดอำนาจว่า “จะนำประชาชนให้ไปสู่ความเจริญอย่างสุดประเสริฐ ซึ่งเรียกว่าศรีอารยะนั้นพึงบังเกิดแก่ราษฎรถ้วนหน้า คำว่า “ศรีอารยะ”เป็นคำแฝงที่หลวงประดิษฐ์ฯ ถือโอกาสแทรกเจตจำนงที่จะนำประเทศชาติไปสู่ลัทธิคอมมิวนิสต์”
พฤติกรรมอำพรางหลอกลวงกันเอง โดยให้ฝ่ายทหารซึ่งมีพระยาทรงสุรเดช เป็นผู้จัดการหลอกนักเรียนทหารให้ออกมาชมการซ้อมรบที่ลานพระรูปฯ เมื่อทหารออกมามากพอแล้วก็ใช้นักเรียนทหารที่ถูกหลอกมาเป็นฐานกำลังยึดอำนาจ ในขณะที่นายปรีดี พนมยงค์ ซึ่งเป็นหัวหน้าฝ่ายพลเรือนผู้ร่างประกาศเปลี่ยนแปลงการปกครอง ก็ฉวยโอกาสแทรกเจตจำนงที่จะนำประเทศชาติไปสู่ลัทธิคอมมิวนิสต์ ในแถลงการณ์ยึดอำนาจ และรัฐธรรมนูญที่นายปรีดีเป็นผู้ร่าง ก็ได้เขียนตามแบบอย่าง “บอลเชวิค”ซึ่งเป็นเหตุให้รัชกาลที่ ๗ มิยินยอมทรงลงพระปรมาภิไธยนี้คือต้นเหตุของความแตกแยก ในคณะราษฎร ที่เกิดขึ้นตั้งแต่เริ่มต้นยึดอำนาจ เมื่อพระยาทรงสุรเดช ชี้หน้าหลวงประดิษฐ์ฯ ว่า “คุณหลวงทำฉิบหายป่นปี้ ไม่ทำตามที่บอกกล่าวกันไว้ ทำอะไรนอกเรื่อง” พระยาทรงสุรเดชกับหลวงประดิษฐ์ฯ ก็ผิดใจกันตั้งแต่นาทีนั้น และขัดแย้งกันตลอดชีวิต
ความขัดแย้งแตกแยก แย่งชิงอำนาจกันในคณะราษฎร ทำให้สถาบันกษัตริย์ตกเป็นผู้รับบาปเมื่อต่างฝ่ายต่างระแวงสงสัยว่า ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งคิดโค่นล้มกันเอง เพื่อถวายคืนพระราชอำนาจฯ พระราชบุตรพระราชนัดดา พระบรมวงศานุวงศ์ในรัชกาลที่ ๕ จึงถูกขจัดทำลายหลายพระองค์ เช่น กรมพระนครสวรรค์ฯกรมพระยาดำรงเดชานุภาพ ฯลฯ ถูกริบพระราชทรัพย์และนิรเทศไปเมืองบันดุง กรมพระกำแพงเพชรอัครโยธิน และ กรมพระชัยนาทนเรนทร ถูกตัดสินประหารชีวิต ถูกคุมขังในคุกบางขวางและเกาะตะรุเตา ตกระกำลำบากแสนสาหัสก่อนได้รับนิรโทษกรรมหลายปีต่อมาผู้ที่ถูกลงโทษทรมาน ล้วนเป็นลูกและหลานพระปิยมหาราช
๒๕ ปี ในการปกครองของคณะราษฎรใช้อำนาจเผด็จการ เข่นฆ่าทารุณฝ่ายตรงข้ามเหมือนผักปลาจนล้นเกล้าฯรัชกาลที่ ๗ มีพระราชหัตถเลขาว่า ในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ พระองค์ยังไม่เคยใช้อำนาจเยี่ยงนี้ ๒๕ ปีของคณะราษฎรที่ปกครองแบบทรราช วนเวียนอยู่กับปฏิวัติรัฐประหารแย่งชิงอำนาจฆ่าฟันกันเองหลายครั้งหลายครา จนไม่เหลือเวลาพัฒนาประชาธิปไตยตามที่ประกาศไว้ในวันยึดอำนาจ
กระทั่งพ.ศ. ๒๕๐๐ เมื่อจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ผู้ไม่เคยเรียนเมืองนอก ไม่ถูกล้างสมองด้วยการปฏิวัติฝรั่งเศส ไม่เคยเรียนทฤษฎีเศรษฐกิจแบบเลนินและเหมา เจ๋อ ตุง ทำการปฏิวัติยึดอำนาจ ขับไล่คณะราษฎร ถอนหมุดคณะราษฎรออกไป ฟื้นฟูประเพณีถวายความจงรักภักดีพระมหากษัตริย์ เปลี่ยนวันชาติจาก ๒๔ มิ.ย. มาเป็นวันพระราชสมภพของพระมหากษัตริย์ แผนพัฒนาเศรษฐกิจแห่งชาติ ประกาศใช้ หลังจากขจัดคณะราษฎร วันนี้ประเทศไทยเข้าสู่ศักราชใหม่ รัฐธรรมนูญ ๒๕๖๐ ที่ประกาศใช้ ได้บัญญัติไว้ซึ่งแผนยุทธศาสตร์ชาติ หมุดคณะราษฎรถูกแทนที่ด้วยหมุด “ชาวประชาหน้าใส”
แต่เรื่องการปกครองยังถกเถียงกันต่อไปว่า ๒๔ มิ.ย. ๒๔๗๕ เป็นวันอภิวัฒน์ชาติ ฤาวันทรราชปล้นแผ่นดิน
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี