หลังจากพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงปฐมเทศนาจบแล้ว พระอัญญาโกณฑัญญะได้ดวงตาเห็นธรรมว่า สิ่งใดมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นมีความดับไปเป็นธรรมดา ซึ่งการตรัสสอนของพระพุทธเจ้าหลังจากนั้นแล้ว ก็มีผู้เห็นธรรมอย่างเดียวกันนี้เป็นจำนวนมาก
แต่ทว่าการมีดวงตาเห็นธรรมเช่นนี้เป็นเพียงการเข้าถึงกระแสแห่งพระอริยเจ้าเท่านั้น เป็นเพียงการเริ่มต้นเห็นแสงเรืองรองขององค์ธรรมองค์หนึ่งในพระไตรลักษณ์ คือเห็นความไม่เที่ยงเท่านั้น ยังจะต้องศึกษาอบรมเพื่อความรู้ความเข้าใจและการเข้าถึงด้วยความรู้อันยิ่งในพระไตรลักษณ์ต่อไป
ดังนั้น แม้พระอัญญาโกณฑัญญะจะได้ดวงตาเห็นธรรมแล้ว แต่ก็ยังคงเป็นเบื้องต้นเท่านั้น แม้กระนั้นก็สามารถกล่าวได้ว่าเป็นการเห็นความจริงด้วยปัญญาในเบื้องต้นแล้ว ไม่ใช่เป็นแค่ชั้นความรู้ที่อ่านจากหนังสือ หรือฟังคนอื่นเขาพูดมา หรือคิดเอาเอง เหมือนกับการที่อ่านหนังสือหรือได้ยินมาว่าไฟนั้นร้อนอย่างไร ความรู้อย่างนั้นเป็นความรู้ในเชิงปริยัติ หรือความรู้ในเชิงวิชาการ แต่ยังไม่ใช่ความรู้จริง
จะเป็นความรู้จริงก็ต่อเมื่อเอามือไปสัมผัสกับไฟด้วยตนเองนั่นแหละ ก็จะรู้ด้วยตนเองว่าที่ว่าไฟร้อนนั้นร้อนอย่างไร ฉันใดก็ฉันนั้น
ชาวพุทธทั่วไปได้รู้ได้ทราบเรื่องความไม่เที่ยงหรือความเป็นอนิจจตา มาจากการอ่านหนังสือหรือจากการฟังคนอื่นพูด หรือฟังพระท่านเทศน์ในเทศกาลต่างๆ ซึ่งยังไกลออกไปจากการได้สัมผัสอย่างจริงๆ จังๆ เหมือนกับเอามือไปสัมผัสกับไฟว่าร้อนอย่างไร จึงต้องทำการศึกษา ทำความรู้ ทำความเข้าใจในเรื่องความไม่เที่ยงหรืออนิจจตานั้นต่อไป
ดังนั้นเมื่อได้ดวงตาเห็นธรรมคือเห็นความจริงด้วยปัญญาอันยิ่งตามที่เป็นจริงว่าอนิจตานั้นเป็นอย่างไร นั่นคือเห็นด้วยปัญญาอันยิ่งว่าสิ่งใดมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นมีความดับไปเป็นธรรมดา ความที่เห็นความจริงนั้นก็เป็นลำดับเป็นขั้นเป็นตอนจากที่เริ่มเห็นแบบเลือนลางก็เริ่มเห็นด้วยปัญญาอันยิ่งที่ชัดเจนยิ่งขึ้นโดยลำดับไป จนกระทั่งเห็นอย่างชัดเจนไม่มีที่ใดต้องสงสัยว่าสิ่งใดมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นย่อมมีความดับไปเป็นธรรมดา
เมื่อเห็นอย่างนั้นแล้วย่อมได้ชื่อว่าเห็นอนิจจตาคือเห็นความไม่เที่ยงหรือความเป็นอนิจจัง และเห็นอย่างแจ่มแจ้งว่าสิ่งใดมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา ไม่ว่าจะมีรูปร่างตัวตนหรือไม่ สิ่งนั้นต้องดับไปเป็นธรรมดา ไม่มีใครหยุดยั้งเปลี่ยนแปลงได้ ความไม่เที่ยงนั้นมีอำนาจหรือเป็นธรรมชาติที่ต้องเป็นไปอย่างนี้ ไม่มีใครหรือสิ่งใดหยุดยั้งหรือเปลี่ยนแปลงแก้ไขอะไรได้เลย
เมื่อนั้นก็จะเห็นอนิจจตาหรือความเป็นอนิจจังหรือความไม่เที่ยงชัดเจนยิ่งขึ้นโดยลำดับจนถึงที่สุด
เพราะเหตุนี้ในการฝึกฝนอบรมสติหรืออบรมสมาธิในพระพุทธศาสนานั้น เมื่อมีการฝึกฝนอบรมสมาธิจนสามารถเปลื้องจิตออกจากความเศร้าหมองหรือสิ่งทั้งหลายที่รุมเร้าจิตอยู่ทั้งภายนอกภายในแล้ว จิตนั้นก็มีความเป็นอิสระถึงที่สุดมีความควรแก่งานที่จะสามารถทำหน้าที่การงานขั้นสูงของจิตได้ จิตชนิดนี้และระดับนี้เท่านั้นจึงมีกำลังที่จะสามารถทำการศึกษาหรือทำการปฏิบัติเพื่อเห็นธรรมได้ และจิตชนิดนี้แหละที่จะสามารถเห็นด้วยปัญญาอันยิ่งถึงความไม่เที่ยงหรืออนิจจังหรืออนิจจตาได้
ดังนั้นห้วงเวลาที่พระอัญญาโกณฑัญญะมีดวงตาเห็นธรรม จึงเป็นห้วงเวลาที่กำลังสมาธิของพระอัญญาโกณฑัญญะอยู่ในภาวะเช่นที่กล่าวนี้ จึงสามารถเห็นด้วยปัญญาอันยิ่งว่าสิ่งใดมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นย่อมมีความดับไปเป็นธรรมดา ซึ่งพระสูตรได้เรียกภาวะการเห็นอย่างนี้ว่าอนิจจานุปัสสี คือการเห็นความไม่เที่ยง ถ้าเป็นสติปัฏฐานสูตรหรืออานาปานสติสูตรก็จะมีเนื้อความตรงกันว่าเป็นขั้นตอนการเห็นธรรมในธรรมขั้นแรก คือการเข้าถึงอนิจจานุปัสสี
เมื่อเห็นความจริงตามความเป็นจริงด้วยปัญญาอันยิ่ง ด้วยจิตที่อิสระอย่างยิ่ง และด้วยกำลังสมาธิอันยิ่งถึงความไม่เที่ยงหรืออนิจจานุปัสสีแล้ว ก็ย่อมเข้าถึงภูมิธรรมซึ่งพระอริยเจ้าทรงสรรเสริญ คือการเริ่มเข้าถึงพระไตรลักษณ์
ดังนั้น หลังจากการที่พระอัญญาโกณฑัญญะได้ดวงตาเห็นธรรมในวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 8 แล้ว ต่อมาปัญจวัคคีย์ทั้ง 4 คน ก็ได้ศึกษาและมีดวงตาเห็นธรรมโดยลำดับ จนกระทั่งได้ดวงตาเห็นธรรมครบ 5 คน
ต่อจากนั้นในวันแรม 5 ค่ำ เดือน 8 พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสสอนครั้งสำคัญครั้งแรกแห่งโพธิกาลของพระสมณโคดมพุทธเจ้า และเป็นผลทำให้พระอรหันต์บังเกิดขึ้นเป็นครั้งแรกในโลก นั่นคือพระปัญจวัคคีย์ทั้ง 5 รูปเมื่อได้สดับพระธรรมเทศนาด้วยปัญญาอันยิ่งแล้ว ก็ได้เข้าถึงอรหัตมรรคและบรรลุความเป็นพระอรหันต์หรืออรหัตผลในวันแรม 5 ค่ำ เดือน 8 นั้น
พระธรรมเทศนาครั้งนี้คืออนัตตลักขณสูตร หรือพระธรรมเทศนาว่าด้วยพระไตรลักษณ์ หรือนัยหนึ่งก็คือพระธรรมเทศนาที่ว่าด้วยอนิจจตา ทุกขตา และอนัตตา หรือพระธรรมเทศนาว่าด้วยความไม่เที่ยง ความทุกข์ หรือความตั้งอยู่แบบเดิมไม่ได้ และความไม่ใช่ตัวตนของตน
พระอรหันต์เกือบทั้งหมดในพระธรรมวินัยของพระสมณโคดมพุทธเจ้านั้น ได้บรรลุอรหัตผลหลังจากได้สดับอนัตตลักขณสูตร มีเพียงบางรูปที่มีภูมิธรรม ภูมิปัญญาแก่กล้า ดุจดังบัวปริ่มน้ำ แค่เพียงได้ฟังพระธรรมเทศนาบางเรื่องบางตอน หรือที่เรียกว่าอนุปุพพิกถาก็สามารถบรรลุมรรคผลนิพพานได้ในทันที
ดังนั้นเมื่อเห็นความไม่เที่ยงหรือเห็นความเป็นอนิจจตาด้วยปัญญาอันยิ่งแล้ว ย่อมได้ชื่อว่าได้เข้าถึงกระแสแห่งพระอริยเจ้า คือได้เข้าถึงและสัมผัสพระไตรลักษณ์องค์แรกคืออนิจจตา หรือที่เรียกตามแบบแผนการฝึกฝนอบรมจิตว่าอนิจจานุปัสสีนั่นเอง
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี