“ประเทศไทยมีการใช้ยาฆ่าแมลงมากเป็นอันดับสี่ของโลก และใช้ยากำจัดศัตรูพืชมากเป็นอันดับห้าของโลก” นายธีระ วงษ์เจริญ ที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวเรื่องนี้ในที่ประชุมศูนย์การประชุมรัชนีแจ่มจรัส สมาคมสันนิบาตสหกรณ์แห่งประเทศไทย เมื่อวันที่ 18 สิงหาคม 2561
ศาสตราจารย์ นายแพทย์ ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา กรรมการปฏิรูประบบสาธารณสุข และอาจารย์คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เขียนใน facebook ว่า (ผู้เขียนขออนุญาตยกข้อเขียนบางตอนของ อาจารย์ธีระวัฒน์ มานำเสนอในที่นี้)
ความเห็น และข้อเรียกร้องต่อการจัดการปัญหาของรัฐบาลในเรื่องการใช้สารเคมีอันตรายในการเกษตรกรรม
ในตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาไม่ต่ำกว่า 20 ปี มีการทักท้วงการใช้สารที่มีอันตรายเหล่านี้มาตลอด ในต่างประเทศจากแพทย์ นักวิทยาศาสตร์ และองค์กรสิ่งแวดล้อม สามารถพิสูจน์ให้เห็นประจักษ์ได้ถึงผลกระทบในระยะเฉียบพลันถึงแก่ชีวิต หรือทุพพลภาพ และผลในระยะยาวทางสมอง ทางการเกิดมะเร็ง โรคไต แม้กระทั่งความผิดปกติของสภาพเพศในเด็กที่เกิดมา รวมทั้งสติปัญญาอ่อนด้อย
ปัญหาเหล่านี้ได้ถูกศึกษาในประเทศไทยทั้งทางด้านวิทยาศาสตร์ กลไกในการเข้าสู่ร่างกาย กลไกของการเกิดโรคมะเร็ง ซึ่งสอดคล้องกับข้อมูลที่ได้จากนักวิชาการจากนานาประเทศ โดยเฉพาะที่สำคัญคือการพบการสะสมของสารเคมีเหล่านี้ในสิ่งแวดล้อมในพื้นที่เกษตรกรรมหลายจังหวัด ในน้ำที่นำมาใช้ผลิตเป็นน้ำประปา ในลำน้ำที่ไหลลงสู่เขื่อน เช่น เขื่อนอุบลรัตน์
นอกจากนั้น พืชผักผลไม้และอาหารที่จำหน่ายในพื้นที่ต่างๆ ของประเทศไทย ยังพบการปนเปื้อนของสารเคมีเหล่านี้ทั้งในปริมาณที่มากกว่ามาตรฐานและต่ำกว่ามาตรฐาน
อย่างไรก็ตาม ข้อมูลจากการติดตามเรื่องนี้เป็นเวลามากกว่า 20 ปี โดยนักวิชาการในต่างประเทศพบว่าการสัมผัสกับสารเคมีเหล่านี้ แม้ว่าจะอยู่ในปริมาณน้อยก็ตาม แต่ถ้าเป็นเวลานานและต่อเนื่องเป็นเวลาไม่กี่ปี สามารถเหนี่ยวนำให้เกิดมะเร็ง และโรคทางสมอง ดังที่มีการออกคำสั่งให้ยกเลิกสารเคมีฆ่าแมลงในประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 9 สิงหาคม 2561 และตัดสินให้ชดใช้ค่าเสียหายต่อผู้ที่ได้รับผลกระทบจากสารเคมีฆ่าหญ้า และเกิดมะเร็งในวันที่ 10 สิงหาคม 2561 โดยประเด็นสำคัญคือ ทางบริษัทเพิกเฉยและละเลยที่จะแจ้งอันตรายที่เกิดขึ้นแก่ผู้ใช้ แม้กระทั่งต่อผู้สัมผัสกับสารเคมีเหล่านี้ แม้ว่าจะไม่ได้อยู่ในเขตเกษตรกรรมก็ตาม
ในประเทศไทย กระทรวงสาธารณสุขมีมติให้ยกเลิกการใช้สารเคมีเหล่านี้ ตั้งแต่วันที่ 5 เมษายน 2560 แต่รัฐบาลเพิกเฉยที่จะปฏิบัติตาม ด้วยการตั้งคณะอนุกรรมการวัตถุอันตรายขึ้น เพื่อยื่นส่งต่อกรรมการวัตถุอันตราย และกรรมการชุดดังกล่าวได้ประกาศในวันที่ 23 พฤษภาคม 2561 ทั้งนี้ โดยมีการละเลยที่จะไม่พิจารณาหลักฐานทางวิทยาศาสตร์และทางวิชาการทั้งจากต่างประเทศและในประเทศไทยซึ่งเป็นที่เชื่อถือได้ และสรุปว่าไม่มีหลักฐานที่แสดงว่าสารเคมีเหล่านี้มีผลกระทบต่อสุขภาพ
นี้คือข้อความตอนหนึ่งจาก facebook ของอาจารย์ธีระวัฒน์ ที่ชี้ชัดให้เห็นว่ารัฐบาลไทยเพิกเฉยต่อการปกป้องสวัสดิภาพของคนไทยให้ห่างไกลจากพิษภัยของสารเคมีอันตราย
สำหรับคุณผู้อ่านที่อาจจะไม่ได้ติดตามข่าวสารเคมีอันตราย อาจจะงงว่า ผู้เขียนกำลังพูดถึงสารเคมีชนิดใด ขอเรียนให้ทราบว่าสารเคมีอันตรายที่ว่านั้นคือ พาราควอต (Paraquat) ไกลโฟเซต (Glyphosate) และคลอร์ไพริฟอส (Chlorpyrifos)
อ้างอิงจากข้อเท็จจริงทางวิชาการเชิงวิทยาศาสตร์พบว่าสารเคมีที่ใช้กำจัดศัตรูพืชทั้ง 3 ชนิดนี้ มีผลกระทบต่อสุขภาพของคนและต่อสิ่งแวดล้อมอย่างมาก ตัวอย่างเช่น พาราควอตมีพิษเฉียบพลันสูงต่อมนุษย์ มีผลกระทบเรื้อรังต่อสุขภาพ เช่น ก่อให้เกิดโรคพาร์กินสัน สมองเสื่อม จากการทดลองพบว่าสารพิษตัวนี้สามารถผ่านเข้าสู่ร่างกายได้โดยการสัมผัสทางผิวหนัง แล้วซึมเข้าสู่ร่างกาย จนทำให้เกิดอันตรายถึงชีวิต และพบด้วยว่าสารพิษตัวนี้ตกค้างในอาหาร สิ่งแวดล้อม และร่างกายมนุษย์และสัตว์ ดังนั้นจึงจะต้องยกเลิกการใช้พาราควอต คลอร์ไพริฟอส และไกลโฟเซต ในประเทศไทยโดยทันที
ผู้สนใจสามารถติดตามอ่านงานวิจัยเรื่องนี้ได้จากศูนย์ความเป็นเลิศด้านอนามัยสิ่งแวดล้อมและพิษวิทยา สถาบันวิจัยจุฬาภรณ์ ที่ระบุถึงการจัดอันดับความเป็นอันตรายของสารกำจัดศัตรูพืช โดยองค์การอนามัยโลก ซึ่งอาศัยข้อมูลความเป็นพิษเฉียบพลัน (LD50) ที่ได้จากสัตว์ทดลอง และความเข้มข้นที่นำมาใช้ในผลิตภัณฑ์ จึงได้จัดให้พาราควอตเป็นสารอันตรายปานกลาง แต่มีคำอธิบายเพิ่มเติมว่า หากสารนี้ถูกดูดซึมเข้าร่างกาย จะส่งเป็นอันตรายที่ร้ายแรง ถึงแม้จะมีอันตรายน้อย หากใช้ตามคำแนะนำอย่างถูกต้อง แต่ก็สามารถส่งผลกระทบถึงชีวิตได้ ถ้าหากพาราควอตเข้มข้นเข้าสู่ร่างกายทางปาก หรือโดยการสัมผัสทางผิวหนัง
ส่วนข้อมูลจากศูนย์พิษวิทยา โรงพยาบาลรามาธิบดี ปี 2553-2559 พบอัตราการตายของผู้ป่วยในประเทศไทยที่ได้รับพาราควอต สูงถึงร้อยละ 46.18 คือจากผู้ป่วยทั้งหมด 4,223 คน พบว่าผู้ป่วยเสียชีวิตสูงถึง 1,950 คน และพบว่ามีอัตราตายร้อยละ 10.2 ในกรณีที่ผู้ป่วยสัมผัสสารพิษทางผิวหนัง ร้อยละ 14.5 ในกรณีที่เกิดจากอุบัติเหตุหรือโดยไม่ตั้งใจ และร้อยละ 8.2 ในกรณีที่เกิดจากการประกอบอาชีพประจำวัน
อ้างอิงจากงานวิจัยของสถาบันวิจัยจุฬาภรณ์ พบว่ากลไกการออกฤทธิ์ของสารพิษทั้งสามชนิดสามารถส่งผลกระทบต่อสุขภาพ โดยเฉพาะพาราควอตสามารถเข้าสมองส่วนกลางของสัตว์ทดลองได้ โดยอาศัยกลไกพิเศษที่ขนส่งกรดที่เป็นกลาง (neutral amino acid pump) ทำให้เกิดความผิดปกติในการเคลื่อนไหวของสัตว์ทดลอง นอกจากนั้น พาราควอตยังทำให้เซลล์มะเร็งปอด (A549) ตายแบบ Apoptosis หรือการตายของเซลล์แบบที่มีการโปรแกรมไว้แล้ว และยังเป็นสารก่อให้เกิดการกลายพันธุ์ชนิดอ่อน (weak mutagen) ส่วนคลอร์ไพริฟอสจะเข้าไปช่วยเพิ่มการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งลำไส้ H508 ส่วนไกลโฟเซตกระตุ้นการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งเต้านม ชนิดพึ่งพาฮอร์โมนเอสโตรเจนได้ในปริมาณที่ต่ำมาก และเป็นช่วงที่พบได้ในสิ่งแวดล้อม ซึ่งสารไกลโฟเซตระดับต่ำทำให้เซลล์มะเร็งที่ไวต่อเอสโตรเจนเพิ่มจำนวนขึ้น 5-13 เท่า ผลจากการวิจัยพบว่าพาราควอตเป็นสารที่มีพิษสูงต่อมนุษย์ และไม่มียาถอนพิษ
ศาสตราจารย์ นายแพทย์ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา ผู้อำนวยการศูนย์วิทยาศาสตร์สุขภาพโรคอุบัติใหม่ คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย ระบุว่า ผลกระทบต่อสุขภาพมนุษย์โดยสารพาราควอต และไกลโฟเซต มีมากมาย เท่าที่ติดตามผลงานวิจัยพบว่า ผู้สัมผัสสารเคมีเหล่านี้ และจากการศึกษาในห้องปฏิบัติการในระดับเซลล์ และในระดับยีนส์ พบตรงกันว่าสารเหล่านี้มีพิษในระยะยาว และก่อให้เกิดโรคทางสมองที่ไม่สามารถรักษาได้ เช่น โรคพาร์กินสัน โรคสมองเสื่อม และอาจเกี่ยวพันกับมะเร็ง และพบว่ามีผู้ป่วยหลายรายต้องเสียชีวิตอย่างทรมาน โดยเฉพาะผู้ที่สัมผัสผิวหนังหรือกินเข้าไปโดยอุบัติเหตุ และพบว่าตายเนื่องจากเนื้อปอดเป็นพังผืด ตับวาย และไตวาย จากผลการวิจัยพบว่า แม้มีการใช้โดยให้มีการปกปิดร่างกายอย่างมิดชิดแล้ว แต่สารก็ยังสามารถเข้าสู่ร่างกายได้โดยการสัมผัสทางผิวหนัง ผิวหนังอ่อน เยื่อบุ รวมทั้งเข้าทางแผล แล้วซึมเข้าร่างกายจนเกิดอันตรายถึงชีวิต
อย่างไรก็ตาม จากงานวิจัยอื่นๆ ยังพบว่าสารพิษดังกล่าวนอกจากจะตกค้างในพืชและสัตว์แล้ว ยังตกค้างแหล่งน้ำอุปโภคบริโภค เช่น แหล่งน้ำที่ใช้ผลิตน้ำประปา และระบบผลิตน้ำดื่มที่ไม่มีหน่วยบำบัดและกำจัดสารอินทรีย์ เช่น การใช้ถ่านกัมมันต์ หรือระบบกรองด้วย reverse osmosis เป็นต้น ดังที่พบในจังหวัดน่าน เพชรบูรณ์ และหนองบัวลำภู การตกค้างของสารเคมีในผักผลไม้ เนื้อสัตว์ และน้ำอุปโภค
นับเป็นเรื่องน่าประหลาดมากที่กระทรวงสาธารณสุขของไทยมีมติให้ยกเลิกการใช้สารเคมีเหล่านี้ไปตั้งแต่วันที่ 5เมษายน 2560 แต่ทว่ารัฐบาลกลับเพิกเฉยการดูแลสุขภาพและสวัสดิภาพของประชาชน
จึงมีคำถามว่า รัฐบาลไทยไม่สั่งห้ามการใช้สารพิษเหล่านี้ เพราะอะไร หรือว่ามีอำนาจธุรกิจใดที่อยู่เหนือเรื่องความเป็นความตายของประชาชน รัฐบาลจะตอบคำถามประชาชนในเรื่องนี้อย่างไร หรือว่าความเป็นความตายของประชาชนเป็นเรื่องขี้ผงเมื่อเทียบกับอำนาจเงินของกลุ่มธุรกิจบางกลุ่ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี