ในฐานะผู้สนใจเรื่องการบ้านการเมืองทั้งในและนอกประเทศผมจึงเป็นผู้หนึ่งที่ติดตามความเคลื่อนไหว และบทบาททางการเมืองของท่านวีรสตรี ออง ซาน ซู จี มาโดยตลอดตั้งแต่ประวัติของบิดาของเธอที่เป็นนักต่อสู้เพื่อเอกราชของพม่า จากการปกครองของอังกฤษเจ้าอาณานิคมโลก และผู้ก่อตั้งสร้างชาติ แต่ถูกลอบสังหาร เหลือทิ้งเอาไว้แต่ความดีงาม และความหวังของชาวพม่าที่จะนำศักดิ์ศรีและเกียรติภูมิกลับคืนมา
จึงไม่เป็นที่น่าแปลกใจ เมื่อ ออง ซาน ซู จี เลือกที่จะสละความอบอุ่นของครอบครัว และชีวิตที่สะดวกสบายในประเทศอังกฤษ แล้วเดินทางกลับมาพม่า เพื่อรับใช้ชาติบ้านเมือง โดยปวารณาตัวเอง ว่าจะมุ่งมั่นทำทุกวิถีทางเพื่อให้ประเทศพม่าเป็นสังคมประชาธิปไตย และมีความเจริญก้าวหน้า
แต่บริบทของการเมืองพม่าในขณะนั้น คือ รัฐบาลเผด็จการทหาร และอุดมการณ์สังคมนิยม นั่นคือ รัฐคุมเศรษฐกิจ และการเมืองทั้งหมดไว้ในกำมืออย่างเบ็ดเสร็จ
เมื่อ ออง ซาน ซู จี มุ่งประสงค์ความเป็นประชาธิปไตย ก็เท่ากับว่า นางออง ซาน ได้ประกาศจุดยืนอยู่ตรงกันข้ามกับฝ่ายกองทัพโดยปริยาย
นั่นจึงทำให้ ออง ซาน ซู จี ถูกลิดรอนสิทธิเสรีภาพ และมีสภาพเป็นเสมือนนักโทษการเมือง ถูกคุมตัว ถูกคุมขังจำกัดบริเวณให้อยู่ที่บ้านพักเป็นเวลากว่า 10 ปี โดยระหว่างนั้น รัฐบาลทหาร ได้ยื่นข้อเสนอให้ ออง ซาน ซู จี สามารถเลือกการมีอิสรภาพได้ แต่ต้องกลับไปอยู่กับสามี และลูกชายเล็กๆ 2 คน ที่ประเทศอังกฤษ
แต่แทนที่จะเลือกความสุขส่วนตัว ออง ซาน ซู จี กลับยอมทนทุกข์ทรมาน จากการถูกตัดขาดจากสามีและลูกน้อยทั้ง 2 โดยเลือกที่จะถูกกักตัวในบ้านพักของตนเอง และต่อสู้เพื่อความถูกต้องชอบธรรม และเพื่ออนาคตของพม่า และแม้กระทั่งเมื่อสามีเสียชีวิต เธอก็ไม่ได้เดินทางออกจากพม่า เพื่อไปร่วมไว้อาลัยและพิธีศพ ออง ซาน ซู จี เด็ดเดี่ยวที่จะรับใช้ชาติบ้านเมือง
เมื่อ ออง ซาน ซู จี แสดงความมุ่งมั่นด้วยวิถีทางต่างๆ คนทั้งโลกก็เอาใจช่วยเธอ และฝากความหวังของการปลดปล่อยพม่าไว้กับเธอ
จนวันหนึ่ง โลกก็สรรเสริญวีรกรรมของเธอด้วยรางวัลโนเบล สาขาสันติภาพ แต่เธอก็ไม่สามารถเดินทางออกไปรับรางวัลได้ จะรับได้ก็เมื่อเธอเป็นอิสระในช่วง 2-3 ปีต่อมา
ที่ผ่านมา ออง ซาน ซู จี จึงถูกยกย่องให้เป็นวีรสตรีโลก เป็นแสงแห่งความถูกต้องชอบธรรม เป็นดาวประกาย เป็นคบเพลิงประชาธิปไตยและสิทธิเสรีภาพ ความเสมอภาค และภราดรภาพออง ซาน ซู จี กลายเป็นสตรีที่โด่งดังที่สุดของโลกร่วมสมัย
และแล้วในที่สุด รัฐบาลทหารพม่า ก็ทนแรงกดดันของโลกและความอึด อดทน มุ่งมั่น ของออง ซาน ซู จี ต่อไปอีกมิได้ จึงยอมวางมือ ปลดปล่อยชาวพม่า และปลดตัวเองออกจากอำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาดไปในที่สุด
เมื่อฟ้าเปิด ออง ซาน ซู จี ก็นำพรรคเอ็นแอลดีชนะการเลือกตั้งในระบอบประชาธิปไตยอย่างถล่มทลาย กลายเป็นนักการเมืองหมายเลข 1 ของพม่า แม้จะไม่สามารถดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีของพม่าได้ตามกฎหมายรัฐธรรมนูญที่ห้ามมิให้ผู้ที่แต่งงานกับชาวต่างชาติเป็นประมุขของประเทศได้ก็ตาม แต่ในทางปฏิบัติ เธอคือผู้นำทางการเมืองและผู้นำรัฐบาล
แต่กฎหมายรัฐธรรมนูญของพม่ายังทำให้พม่าเป็นประเทศประชาธิปไตยแบบครึ่งใบ กล่าวคือ ฝ่ายกองทัพยังมีบทบาทและตำแหน่งทางการเมือง ออง ซาน ซู จี ก็ต้องอยู่แบบประนีประนอมกับฝ่ายกองทัพ คือพยายามยึดมั่นในหลักครรลองประชาธิปไตย โดยร่วมบริหารประเทศกับฝ่ายกองทัพ แต่ช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา รูปการณ์กับปรากฏว่า เธอโอนอ่อนกับฝ่ายกองทัพมากกว่าที่จะควบคุมและกำกับกองทัพ และยังปกป้องการกระทำของกองทัพเสียอีกด้วย โดยเฉพาะการใช้ความรุนแรงอย่างเหี้ยมโหด กับชนกลุ่มน้อยมุสลิมโรฮีนจาในรัฐยะไข่ ทางตะวันตกของพม่า ซึ่งถูกลิดรอนสิทธิเสรีภาพ ถูกปฏิเสธสิทธิการเป็นพลเมือง แล้วยังถูกเข่นฆ่า และขับไล่ออกจากประเทศอย่างไม่ไยดี (เท่ากับว่า พม่าส่งออกปัญหาของตนให้กับประเทศเพื่อนบ้านต่างๆ)
นั่นจึงทำให้มีการถอดรูปภาพของนางออง ซาน ซู จี ลงจากกำแพงเชิดชูเกียรติ ของมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด ที่เธอเป็นศิษย์เก่า นอกจากนั้นยังมีเสียงเรียกร้องจากหลายภาคส่วนให้ดำเนินการริบรางวัลโนเบลคืน (โดยคณะกรรมการโนเบลได้ปฏิเสธข้อเรียกร้องนี้) และล่าสุดข้าราชการระดับสูงขององค์การสหประชาชาติด้านสิทธิมนุษยชน ได้ออกมาเรียกร้องให้ ออง ซาน ซู จี ลาออกจากตำแหน่งเสีย เพราะมีความเห็นว่าการแสดงออกต่างๆ ทางสาธารณะของ ออง ซาน ซู จี นั้นเสมือนปิดหูปิดตาตนเอง ไม่ยอมรับว่ามีการทารุณกรรมเยี่ยงการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ต่อชนกลุ่มน้อยมุสลิมโรฮีนจา ทั้งนี้ คณะทำงานอิสระค้นหาข้อเท็จจริงขององค์การสหประชาชาติได้ยืนยันผลการสอบสวนข้อเท็จจริงว่า กองทัพพม่าได้ทำการทารุณกรรมฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวโรฮีนจา และนายพล 6 คน เป็นผู้ต้องหา ตกอยู่ในการพิจารณาเบื้องต้นของศาลอาญาโลก ที่กรุงเฮก ณ วันนี้
นอกจากการไม่รับข้อเท็จจริงต่อการกระทำของกองทัพพม่าแล้ว นางออง ซาน ซู จี ยังถูกประณามอีกด้วยว่า เอาแต่พูดในทำนองปกป้อง และทำตนเป็นทนายหน้าหอให้กับฝ่ายกองทัพพม่าอีกด้วย
บวกกับข่าวในวงการต่างๆ ที่ติงว่า ออง ซาน ซู จี นั้นเป็นพวกชนชาติพม่านิยม (Burman) คือถือว่าชนชาติพันธุ์พม่านั้นเหนือกว่าชนชาติพันธุ์อื่นในประเทศพม่า โดยเฉพาะชนชาติพันธุ์มุสลิมโรฮีนจา และมีแนวโน้มว่า ยังโอนอ่อน เห็นดีเห็นงาม กับภิกษุสงฆ์พุทธขวาจัดที่ไม่รับการอยู่ร่วมโลกของชาวโรฮีนจาอีกด้วย
นอกจากนั้น ออง ซาน ซู จี ได้ออกมาตอบโต้เสียงวิจารณ์ต่างๆ โดยกล่าวว่า ที่การแสดงออกต่างๆ ของตนเองไม่เหมือนแต่ก่อน ก็เพราะบัดนี้ เธอเป็นนักการเมืองแล้ว มิใช่นักเคลื่อนไหว หรือนักขับเคลื่อนประชาธิปไตยดังอดีต
ซึ่งการตอบเช่นนี้ ทำให้สังคมโลกผิดหวังหนักเข้าไปอีก เพราะรู้สึกว่า นางออง ซาน ซู จี คงลืมไปว่า ไม่ว่าจะสวมหมวกหรืออยู่ในสถานะใด ความดีงามนั้นจะต้องดำรงอยู่อย่างสม่ำเสมอ ที่สำคัญ อุดมการณ์ อุดมคติ จะต้องไม่เปลี่ยนแปลง หรือนัยหนึ่งคือศักดิ์ศรีแห่งความเป็นมนุษย์นั้นเปลี่ยนแปลงไม่ได้
ในวันนี้ โลกจึงเห็นว่า นางออง ซาน ซู จี ไม่หลงเหลือซึ่งอุดมการณ์เสรีนิยม และความกล้าหาญแล้ว และยังยอมแม้แต่จะอยู่ในอาณัติของฝ่ายทหาร ก็เพียงเพื่อให้สามารถอยู่ในตำแหน่งต่อไปได้เท่านั้น ก็เท่ากับว่า เธอเอาผลประโยชน์ของตนเป็นที่ตั้งมากกว่าผลประโยชน์ประเทศชาติ
การกระทำต่างๆ ในวันนี้ ของนางออง ซาน ซู จี จึงทำให้เธอกำลังดับแสงสว่างในตัวเอง และโลกได้พบแล้วว่า ตัวตนที่แท้จริงของนางออง ซาน ซู จี นั้นเป็นอย่างไร
ศาลอาญาโลกกำลังพิจารณาข้อกล่าวหาต่อ 6 นายพลพม่าดังกล่าว ซึ่งนายพลเหล่านี้อยู่ภายใต้การบังคับบัญชาของ
นางออง ซาน ซู จี ฉะนั้น เธอจะหลีกเลี่ยงความรับผิดชอบ หรือแยกตัวเองออกมิได้ ก็อาจเป็นได้ว่า ข้อหาทารุณกรรมต่อชาวโรฮีนจา ก็อาจจะย่างก้าวมาถึงตัวเธอก็เป็นได้
แล้วออง ซาน ซู จี ซึ่งกำลังอัสดง ก็ดูจะเป็นเสือลำบากระดับโลกเสียแล้ว
กษิต ภิรมย์
kasitfb@gmail.com
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี