ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง สหรัฐอเมริกาเป็นหัวเรือใหญ่ในการเอาชนะเยอรมนีและญี่ปุ่น และต่อมาก็ขึ้นเป็นผู้นำฝ่ายโลกเสรีในการเอาชัยชนะเหนือฝ่ายคอมมิวนิสต์ที่นำโดย สหภาพโซเวียต จัดได้ว่าสหรัฐฯ เป็น“ผู้ชนะสิบทิศ” และหลังจากนั้นก็ยังได้ให้ความช่วยเหลือยุโรปตะวันตก และญี่ปุ่นในการฟื้นฟูเศรษฐกิจแบบตลาดการค้าเสรีหรือทุนนิยม และเสริมสร้างระบอบประชาธิปไตย
ขณะเดียวกันฝ่ายสหรัฐฯ ก็เป็นผู้ประกันและคุ้มครองความมั่นคงปลอดภัยของบรรดาประเทศพันธมิตรต่างๆ ทั้งในยุโรปตะวันตก และเอเชียตะวันออกเฉียงเหนือ คือ ไต้หวัน เกาหลีใต้ และญี่ปุ่น ซึ่งต้องใช้เงินงบประมาณอย่างมหาศาล ซึ่งโดยทั่วไปฝ่ายสหรัฐฯ เป็นผู้แบกภาระเสียเป็นส่วนใหญ่ แต่ต่อมาได้เรียกร้องเชิงบีบบังคับให้ประเทศพันธมิตรทั้งหลายให้ออกแรงเพิ่มขึ้น ที่ผ่านมาก็ได้รับการตอบสนองอย่างกระท่อนกระแท่น และมีทีท่าและพฤติกรรมว่าจะ “ตีกินฝ่ายสหรัฐอเมริกา” กันไปเรื่อยๆ คือให้แบกภาระต่อไป โดยมิได้คิดอ่านที่จะแบ่งเบาภาระและช่วยตัวเองมากขึ้นให้สมศักดิ์ศรี และมีความเป็นธรรมยิ่งขึ้น
จนกระทั่งวันที่นายโดนัลด์ ทรัมป์ ปรากฏตัวขึ้นมาบนเวทีการเมืองของสหรัฐฯ และเอาจริงเอาจังกับเรื่องที่ว่า ประเทศพันธมิตรทั้งหลายจะเอาแต่ตีกินกับสหรัฐอเมริกาไม่ได้อีกต่อไป ซึ่งบัดนี้ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ก็ประสบความสำเร็จ เมื่อที่ประชุมสุดยอดผู้นำสมาชิกองค์การนาโต ที่กรุงเฮกเมื่อสัปดาห์ที่ 3 ของเดือนมิถุนายน ได้มีมติร่วมกันออกมาว่า ทุกประเทศสมาชิกองค์การนาโตจะเพิ่มงบประมาณทางด้านการป้องกันประเทศให้เท่ากับร้อยละ 5 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมของประเทศ (Gross Domestic Product – GDP) ภายในระยะเวลาประมาณ 10 ปี จัดได้ว่าเป็นผลสำเร็จอันยิ่งใหญ่ของประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ส่วนทางภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกหรืออินโดแปซิฟิก ประเทศพันธมิตรของสหรัฐฯ ไม่ว่าไต้หวัน เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น ฟิลิปปินส์ ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ อินเดีย และเวียดนาม ก็เริ่มขยับเขยื้อนกันไปในทิศทางของการจัดหางบประมาณในอัตรา 5% ของ GDP ไปตามๆ กัน
ลัทธิ หรือหลักการว่าด้วยการ “ตีกิน” ในศัพท์แสงทางการเมืองระหว่างประเทศก็ดูมีทีท่าจะสิ้นมนต์ขลังลงเสียแล้ว
ในขณะเดียวกัน ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ก็ได้ออกคำสั่งยุบหน่วยงานความช่วยเหลือต่างประเทศ (USAID) ด้วยสาเหตุหลายประการ เช่น การสูญเสียงบประมาณที่มาจากภาษีราษฎรไปโดยใช่เหตุ คือมีความรั่วไหล มีการทุจริตคอร์รัปชั่น ไม่ได้ช่วยให้ประชาชนพลเมืองของประเทศผู้รับความช่วยเหลือได้ประโยชน์อย่างแท้จริง อีกทั้งประธานาธิบดีโดนัลด์
ทรัมป์ ยังเห็นว่าสหรัฐฯ ไม่มีภาระหน้าที่ที่จะนำเงินจาก USAID นี้ เข้าไปแทรกแซงในกิจการการเมืองภายในของประเทศต่างๆ โดยเฉพาะการเข้าไปเปลี่ยนแปลงระบอบการเมืองการปกครองรูปแบบหนึ่งใดก็ตาม ให้เป็นการเมืองการปกครองในระบอบประชาธิปไตย (แบบของฝ่ายตะวันตก) เพราะเห็นว่าสงครามอุดมการณ์ หรือสงครามเย็น ก็ได้สิ้นสุดลงไปแล้ว อีกทั้งการที่ประเทศหนึ่งใดจะมีระบบระบอบการเมืองการปกครองอย่างใด ก็ให้เป็นเรื่องเป็นราวของประชาชนพลเมืองนั้นๆ ที่จะคิดอ่านจัดทำกันเอง ไม่ใช่เป็นเรื่องที่ฝ่ายสหรัฐฯ จะต้องเข้าไปทำตัวเจ้ากี้เจ้าการ ส่วนงบประมาณที่ไม่ต้องไปใช้กับองค์กร USAID นี้ ก็จะได้นำไปใช้กับการพัฒนา ปรับปรุงโครงสร้างทางเศรษฐกิจและการบริการสังคมต่างๆ ของสหรัฐฯ ต่อไป
ลัทธิหรือหลักการการ “เกาะกิน” ก็จะสิ้นสุดลงไปโดยปริยาย ส่งผลให้ประเทศต่างๆ ก็ต้องช่วยตัวเอง บริหารจัดการงบประมาณให้เหมาะสม โดยการจัดลำดับความสำคัญก่อนหลัง เช่น ตัดลดโครงการประชานิยม โครงการใหญ่โตมโหฬารที่มีผลประโยชน์ทับซ้อน การจัดใช้งบประมาณทางการป้องกันประเทศให้กระชับและเหมาะสมด้วยการประเมินตัว และร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้านในการป้องกันปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติ เป็นต้น
แต่ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ก็ยังมีภารกิจที่สำคัญค้างคาอยู่อีกเรื่องหนึ่ง นั่นคือ การหาความสมดุลระหว่างเรื่องการทหาร และความมั่นคง กับเรื่องการเสริมสร้างสันติภาพในโลกกว้าง ซึ่งในบริบทนี้เรื่องที่สำคัญที่สุดคือ การเจรจาตกลงการลดอาวุธโดยทั่วไป ในการขจัดอาวุธนิวเคลียร์เป็นการเฉพาะ ที่เมื่อมีการใช้ จะไม่เหลือผู้ใดเป็นฝ่ายแพ้ หรือฝ่ายชนะ เพราะทุกฝ่ายจะล่มสลายกันถ้วนหน้า
ในสภาพการณ์นี้ประเทศไทยและอาเซียนก็มีความจำเป็นที่จะต้องทบทวนตนเอง และกำหนดอนาคตของตนเองให้เหมาะสม
กษิต ภิรมย์
kasitfb@gmail.com
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี