เมื่อเร็วๆ นี้ ผศ.ภญ.ดร.นิยดา เกียรติยิ่งอังศุลี ผู้จัดการศูนย์วิชาการเฝ้าระวังและพัฒนาระบบยา ผู้แทนภาคีเครือข่าย 13 องค์กร ทำหนังสือถึงพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เรื่อง ข้อเสนอเรื่องการออกประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติ กรณีกัญชาและพืชกระท่อม ใจความในหนังสือระบุว่า
“ตามที่สภานิติบัญญัติแห่งชาติ ได้มีมติเอกฉันท์รับหลักการร่างพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายยาเสพติด พ.ศ.... ร่างพระราชบัญญัติประมวลกฎหมายยาเสพติด พ.ศ.... และร่างพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดียาเสพติด พ.ศ.... เมื่อวันที่ 14 มิถุนายน 2561 ซึ่งสอดคล้องกับข้อเรียกร้องของภาคีเครือข่ายประชาสังคม นักวิชาการที่ทำงานด้านยาเสพติดและสุขภาพที่สนับสนุนให้มีการนำยาเสพติด ประเภท 5 โดยเฉพาะกัญชา และพืชกระท่อมมาใช้ประโยชน์ในการศึกษาวิจัยและใช้ในทางการแพทย์ ในอดีตหมอพื้นบ้านก็มีการใช้กัญชาและใบกระท่อมในตำรับยาไทย รักษาผู้ป่วยและบำบัดโรคบางอย่างได้
อย่างไรก็ดี ขณะนี้มีความล่าช้าในการพิจารณาร่างประมวลกฎหมายยาเสพติด ซึ่งอยู่ระหว่างการพิจารณาในวาระที่ 2 ของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายยาเสพติด ซึ่งอาจมีผลทำให้ไม่สามารถประกาศใช้ร่างกฎหมายดังกล่าวได้ทันในรัฐบาลนี้”
พูดง่ายๆ ว่า ใช้ ม.44 เข้าปลดล็อกเสียเถอะ จะได้ทันการณ์
ในเรื่องนี้ ผมคิดว่าต้องทำความเข้าใจกับสังคมไทยและผู้มีอำนาจอย่างเร่งด่วนว่า
1) มิได้เรียกร้องให้มีการปลูก จำหน่าย และใช้ กัญชากับกระท่อมอย่างเสรีทั่วไป แต่อนุญาตให้ใช้เฉพาะในทางการแพทย์เท่านั้น
2) มีงานวิจัยทั่วโลก และงานวิจัยของไทยเอง ที่กล่าวถึงประโยชน์ทางการแพทย์ของกัญชาและกระท่อมไว้มากมาย ตลอดจนการแพทย์แผนไทยตั้งแต่สมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ก็บันทึกตำรับยาที่เข้ากัญชาเอาไว้ นับว่าภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทย เข้าถึงเรื่องนี้มานมนานแล้ว หากแต่ถูกปล่อยปละละเลย ไม่ศึกษา เพื่อนำมาใช้ในยุคปัจจุบันให้จริงจัง
3) นับจากที่ประเทศไทยมีกฎหมาย พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 ตำรับยา “ภูมิปัญญาพื้นบ้าน” เหล่านี้ก็แทบจะ “สาบสูญ” ไปจากแผ่นดินไทย เนื่องด้วยทั้งกัญชาและกระท่อม ถูกกำหนดให้เป็น “ยาเสพติดให้โทษประเภท 5” ที่ผู้ผลิตนำเข้า ส่งออก จำหน่าย ครอบครอง และเสพ “มีความผิดทางอาญา” ต้องระวางโทษทั้งจำคุกและปรับ อีกทั้งยังกลายเป็นเรื่อง “ขำไม่ออก” เพราะเมื่อไปดูต่างชาติ พบว่ามีการศึกษาวิจัยกัญชาและกระท่อม เกิดเป็นผลิตภัณฑ์ทางสุขภาพกันอย่างแพร่หลาย
4) จึงมีความจำเป็นเร่งด่วนที่จะช้าไม่ได้ เพราะน่ากังวลเรื่อง “การจดสิทธิบัตร” ของชาติอื่นๆ ที่จะมีผลต่อการวิจัยและนำมาใช้ของไทยเอง ที่ท้ายที่สุดก็จะเหมือนพืชสมุนไพรอีกหลายชนิด ที่ขึ้นได้ดีในบ้านเรา มีสารสำคัญจำนวนมากและดีที่สุดในตระกูลพืชชนิดเดียวกันของโลก แต่เราได้แต่นั่งมอง เพราะคนอื่นเขา “จดสิทธิบัตร” กันไปแล้ว อยากให้เกิดเหตุการณ์เช่นนั้นกับกัญชาสายพันธุ์ไทยและใบกระท่อมอีกใช่ไหม
5) ภญ.นิยดา เกียรติยิ่งอังศุลี ผู้จัดการศูนย์วิชาการเฝ้าระวังและพัฒนาระบบยา (กพย.) กล่าวภายหลังการประชุมสนทนานักข่าว เพื่อสร้างความเข้าใจสถานการณ์ของพืชกัญชาและกระท่อมสู่สังคม เมื่อเร็วๆ นี้ ว่า อยากให้รัฐบาลและแสดงเจตจำนงและความจริงจังต่อเรื่องนี้ เพราะกัญชาและกระท่อม ถือเป็นพืชสมุนไพรไทยในอดีตที่มีการใช้อย่างแพร่หลายตั้งแต่สมัยสมเด็จพระนารายณ์ จนกระทั่งปี 2486 รัฐบาลต้องการรีดภาษีฝิ่น จึงนำเอากัญชาและกระท่อมไปอยู่ในกลุ่มยาเสพติด และมีการออกกฎหมายเมื่อปี 2522 ทำให้กัญชาและกระท่อม ถูกจัดอยู่ในกลุ่มยาเสพติด ประเภท 5 ห้ามปลูก ห้ามเสพ ห้ามซื้อ แค่ทำให้ดูได้อย่างเดียว ไม่สามารถใช้ประโยชน์ใดๆ ถือเป็นการลิดรอนสิทธิการรักษาในแผนแพทย์ไทย และละเลยภูมิปัญญาของไทยไปอย่างน่าเสียดาย
ภญ.นิยดากล่าวว่า ขณะนี้รัฐบาลยังกังวลและลังเลว่าจะใช้ประโยชน์จากการกัญชาและกระท่อม หรือไม่ การศึกษาหรือการถกเถียงเพื่อปลดล็อก สมุนไพร 2 ชนิด ออกจากบัญชียาเสพติดไม่คืบหน้า ทั้งที่มีงานวิจัยต่างประเทศรองรับถึงประโยชน์ และต้องการแค่ปลดล็อก เพื่อประโยชน์ทางการศึกษาวิจัย และทางการแพทย์เท่านั้น จึงเห็นว่าควรปลดล็อกออกจากบัญชียาเสพติด ประเภท 5 หรือ ในระยะสั้นใช้ ม.44 มาแก้ปัญหา แต่ก็ยังไม่ชัดเจน ไม่เข้าใจผู้มีอำนาจต้องการอะไร และห่วงในอนาคตไทย อาจเสียเปรียบต้องนำเข้ายาสมุนไพรไทย 2 ชนิด จากต่างประเทศ เพราะปัจจุบัน ทั้งกัญชา และกระท่อม อยู่ในกลุ่มยาแก้ปวด ขณะนี้ที่ไทยเองต้องมีการสั่งซื้อ มอร์ฟีน และนำเข้าเมทาโดน เพื่อใช้ในการบำบัดผู้ป่วยยาเสพติดจากต่างประเทศ ปีละหลายล้านล้านบาท
6) ภญ.สำลี ใจดี ประธานมูลนิธิสาธารณสุข กับการพัฒนา (มสพ.) กล่าวว่า พื้นที่ปลูกกัญชาได้ดีในพื้นที่อีสาน ขณะที่กระท่อม ปลูกได้ดีในภาคใต้ ซึ่งประโยชน์ของกัญชาและกระท่อมไม่แตกต่างกัน ใช้บรรเทาอาการปวด ซึ่งการพูดถึงประโยชน์ของกัญชาอย่างแพร่หลาย แต่กระท่อมนั้นก็ใช้บรรเทาอาการปวดท้อง แก้ปวดเมื่อย ระงับอาการอักเสบ มีฤทธิ์ลดระดับน้ำตาลในเลือด ป้องกันการเกิดแผลในกระเพาะอาหารด้วย
7) ไพศาล ลิ้มสถิต นักวิชาการประจำศูนย์กฎหมายสุขภาพและจริยศาสตร์ คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) กล่าวไว้ในการประชุม“การปฏิรูปกฎหมายเพื่อฟื้นฟูสมุนไพรกระท่อมและกัญชา เพื่อประโยชน์ของสังคม” ณ คณะเภสัชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดยยกตัวอย่าง แคนาดา ที่ประชาชนสามารถ “ใช้กัญชาในทางการแพทย์” ได้ สืบเนื่องจากมีกรณีการจับกุมกลุ่มผู้ผลิตและใช้กัญชาโดยไม่ได้รับอนุญาต แม้จะเป็นการใช้เพื่อบำบัดโรคโดยคำแนะนำของแพทย์ก็ตาม
ทว่าเมื่อคดีถึงชั้นศาล กลับมีคำตัดสินว่า “กฎหมายดังกล่าวขัดรัฐธรรมนูญ” เพราะเป็นการ “จำกัดสิทธิในการเข้าถึงการรักษาพยาบาล” ของผู้ป่วย ซึ่งปัจจุบันที่แคนาดามีผลิตภัณฑ์ที่นำกัญชามาวิจัยใช้ในทางการแพทย์ อาทิ CanniMed 17-1 สำหรับใช้ระงับอาการเจ็บปวด หรือ CanniMed 1-13 หรือสำหรับบรรเทาอาการโรคลมชักในเด็ก ขายกันราคาต่อขวดประมาณ 8 เหรียญสหรัฐ เป็นต้น
ไพศาล มองว่า “กัญชาและกระท่อม ไม่ควรใช้มาตรการจัดการในระดับเดียวกับยาเสพติดให้โทษอื่นๆ ทั่วไป แต่ควรมีกฎหมายแยกออกมาเป็นการเฉพาะ” อาทิ การเคี้ยวใบกระท่อมหรือต้มน้ำกระท่อมในลักษณะที่ยังไม่มีการแปรสภาพ อันเป็นวิถีชีวิตของคนในท้องถิ่น ไม่ควรมีความผิดตามกฎหมายยาเสพติด เว้นแต่จะมีการนำไปผสมกับสารอื่นๆ จนเกิดเป็นยาเสพติดอีกชนิดขึ้นมา เช่น 4x100 ที่มีการนำใบกระท่อมไปผสมกับยาแก้ไอ จึงถือว่ามีความผิด
หรือการปลูกกระท่อมในชุมชนควรสามารถทำได้ ภายใต้ข้อกำหนดด้านจำนวนที่อนุญาตให้ปลูก โดยการดึงชุมชนเข้ามามีส่วนร่วมการออกข้อกำหนดเกี่ยวกับพืชกระท่อมในชุมชน นอกจากนี้หากปลูกในเชิงพาณิชย์ หากสามารถทำได้ก็ต้องมีมาตรการควบคุมที่เข้มงวดเช่นกัน อีกทั้งต้องมีการเก็บค่าธรรมเนียมตามสัดส่วน เช่น ร้อยละ 20 - 30 ของรายได้ที่เกิดจากกิจการนั้น และให้รัฐมีหน้าที่ให้ความรู้การใช้พืชกระท่อมอย่างเหมาะสมด้วย
ขณะที่การควบคุมกัญชา จะแตกต่างจากกระท่อมเล็กน้อย ตรงที่เน้นไปในทาง “อนุญาตให้ใช้ในการรักษาโรคเท่านั้น” อาทิ ผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรม ทั้งแพทย์แผนไทยและแผนปัจจุบัน สามารถสั่งให้ใช้กัญชาเป็นทางเลือกในการรักษาโรคได้ โดยผลิตภัณฑ์เหล่านี้สามารถขายในสถานพยาบาลหรือร้านขายยาที่มีเภสัชกรดูแล ส่วนบทลงโทษกรณีผู้ใช้กัญชาเพื่อเสพติด หากเป็นการเสพในลักษณะที่ไม่เป็นอันตรายต่อบุคคลอื่นไม่ควรมีโทษทางอาญา ให้มีโทษได้ในกรณีการเสพที่จะก่อให้เกิดความเสียหายกับบุคคลอื่นเท่านั้น
“ปัจจุบันมีผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับกระท่อมและกัญชา ประมาณ 2-3 หมื่นคดี ส่วนใหญ่จะเป็นความผิดฐานเสพ ถ้าเกิดว่ามีการปรับปรุงกฎหมาย ก็เชื่อว่าจะลดจำนวนการดำเนินคดีประชาชนลง ลดงบประมาณ ลดภาระงานของเจ้าหน้าที่” นักวิชาการด้านกฎหมายจาก มธ. กล่าว
8) พล.ต.ท.สมหมาย กองวิสัยสุข ผบช.ปส. กล่าวถึงข้อถกเถียงเรื่องนำกัญชาไปใช้รักษามะเร็งและโรคอื่นในคนว่า ขอให้คนไทยยอมรับได้แล้ว เพราะอยากให้ได้รับการรักษาที่ดี ไม่ใช่ให้ต่างประเทศนำสมุนไพรของไทยนำไปวิจัยและใช้ในการรักษา ขณะที่คนไทยนำไปเผาทิ้งโดยไม่เกิดประโยชน์
9) นพ.เจตน์ ศิรธรานนท์ โฆษก กมธ.วิสามัญกิจการสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (วิป สนช.) ในฐานะรองประธาน กมธ.วิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.ให้ใช้ประมวลกฎหมายยาเสพติด พ.ศ. …. และร่างประมวลกฎหมายยาเสพติด คนที่สอง กล่าวถึงความคืบหน้าการพิจารณาเนื้อหาการถอดกัญชาออกจากยาเสพติดประเภท 5 เพื่อใช้ทางการแพทย์เท่านั้น ว่า
แนวคิดนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาของ กมธ.วิสามัญพิจารณาร่างประมวล กม.ยาเสพติด ร่าง พ.ร.บ.วิธีพิจารณาคดียาเสพติดและร่าง พ.ร.บ.ให้ใช้ประมวลฯรวมสามฉบับ การพิจารณาค่อนข้างช้า และมีรายละเอียดแยะ แต่ละประเด็นยังมีความเห็นต่างกันมาก จึงเป็นห่วงว่าร่าง กม.จะพิจารณาไม่ทันในสมัยนี้ นอกจากนี้ ยังมีข้อจำกัด ที่แม้จะถอดกัญชาออกจากยาเสพติดประเภทที่ 5 ในร่างกฎหมายเดิม ที่ยังไม่ได้พิจารณาจะกำหนดพื้นที่เฉพาะ ให้เพียงเป็นพื้นที่ทดลองทางวิชาการสำหรับงานวิจัยทางการแพทย์เท่านั้น
“ที่ผ่านมาในการอภิปรายร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในสภา มีข้อเสนอให้เสนอเป็นร่างกฎหมายอีกหนึ่งฉบับแยกออกเพื่อให้แก้ไขในส่วนที่ให้ถอดกัญชาออกจากยาเสพติดประเภท 5 สำหรับใช้ในการแพทย์เท่านั้น ไม่ให้ใช้สำหรับการบันเทิง ดังนั้น กลุ่ม สนช.จึงจะเริ่มล่ารายชื่อให้ได้ 20 รายชื่อ ตามรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2560 มาตรา 133 เพื่อเสนอร่างกฎหมายตามเนื้อหาดังกล่าว เพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อวงการการแพทย์และสาธารณสุขต่อไป โดยขั้นตอนก็ต้องมีการรับฟังความคิดเห็นประชาชนตามมาตรา 77 ประกอบด้วย ทั้งนี้ หากรัฐบาลยอมใช้มาตรา 44 เพื่อปลดล็อก ก็สามารถทำได้ทันที เพื่อประโยชน์ของคนไทยและผู้ป่วยอีกจำนวนมาก”
ขณะนี้อยู่ในขั้นตอนการรับฟังความคิดเห็นดังกล่าว ซึ่งบุคคล 2 คนที่จะทำให้เรื่องนี้ “ไม่ช้า” จนเกินการ ก็คือ พล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง ที่รับเรื่องไปนานแล้ว แต่ไม่ตัดสินใจใดๆ เสียที กับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช.
รีบศึกษาและตัดสินใจเสียเถอะครับ!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี