ความงดงามอย่างหนึ่งของระบอบเสรีนิยมประชาธิปไตยคือ ความแตกต่างและหลากหลายของปัจเจกบุคคล แต่ทว่าความแตกต่างใดๆ นั้น ก็ไม่เคยนำไปสู่ความแตกแยกร้าวฉาน เพราะคนผู้มีศรัทธาเชื่อมั่นในเสรีนิยมย่อมเคารพในความเห็นของกันและกัน และเขาเหล่านั้นก็สามารถอยู่ร่วมกันได้ด้วยความสงบสันติ ถึงแม้เขาจะเชื่อหรือเห็นไม่สอดคล้องต้องกันก็ตาม แต่เขาก็จะเหลือที่ว่างไว้สำหรับความเห็นที่แตกต่างของผู้อื่น โดยเขาจะไม่บีบบังคับให้ใครต่อใครต้องเชื่อหรือมองมุมเดียวกับเขา คนที่ยึดมั่นในเสรีนิยมจะไม่ใจแคบ แต่เขาจะมีความอดทนอดกลั้น และยอมรับความแตกต่างได้เสมอ
โลกในสังคมเสรีประชาธิปไตยยุคใหม่นั้น ต่างให้การยอมรับว่าปัจเจกบุคคลมีสิทธิ เสรีภาพในการดำรงวิถีชีวิต โดยปัจเจกย่อมอยู่บนพื้นฐานของโลกทัศน์ ความเชื่อ และขนบวัฒนธรรมเฉพาะกลุ่มก้อนของตนเองและพวกพ้อง แม้ในความเป็นจริง ในหลายต่อหลายกรณีจะเกิดความแตกต่างขึ้นในระหว่างกลุ่มบุคคลที่มีพื้นฐานความคิด ความเชื่อ และความต้องการซึ่งแตกต่างกัน แต่คนที่ใจกว้างและมีความอดทนอดกลั้นก็ไม่เคยปล่อยให้ความขัดแย้งแตกต่างนำไปสู่การเผชิญหน้ากันด้วยกำลัง แต่ถ้าจะมีการเผชิญหน้ากันบ้าง ก็จะเป็นเพียงการถกเถียงกันด้วยปัญญาเท่านั้น
ซึ่งนั่นคือปัจเจกในสังคมที่เจริญแล้ว และเป็นสังคมที่ยึดมั่นในหลักเสรีประชาธิปไตยโดยแท้
แต่สำหรับกลุ่มคนบางจำพวกที่อาศัยอยู่ในประเทศที่ชอบอ้างเสมอๆ ว่าตนเองมีความเป็นประชาธิปไตยมายาวนาน อย่างเช่นประเทศไทย เรากลับพบว่าคนในประเทศนี้จำนวนไม่น้อย โดยเฉพาะผู้มีอำนาจรัฐกลับแสดงอาการชิงชังรังเกียจ และไม่ยอมรับความแตกต่าง บางรายถึงกับหวาดกลัวความแตกต่างด้วยซ้ำไป ดังนั้น คนจำพวกนี้จึงมักจะนำพาให้คนสังคมเดินทางไปสู่ความขัดแย้งแตกแยก และเกิดการเผชิญหน้ากันโดยใช้ความรุนแรงเข้าประหัตประหารกัน เพราะคนพรรค์อย่างนี้มักคิดเสมอว่าผู้ที่มองต่างไปจากตนคือปรปักษ์หรือศัตรูของตน ดังนั้นจึงต้องล้างผลาญฝ่ายที่มองเห็นไม่ตรงกับตนให้ล้มตายไป
เมื่อต่างฝ่ายต่างมองว่าอีกฝ่ายไม่ใช่พวกเดียวกับตน หรือเป็นศัตรูกับตนเสียแล้ว ก็จะมองไม่เห็นว่าคนที่คิดต่างไปจากตนนั้นเขามีสิทธิ์จะคิดไม่เหมือนกับตนเอง นอกจากนั้นยังพยายามหลู่เกียรติและหมิ่นศักดิ์ศรีของฝ่ายตรงข้ามด้วยกรรมวิธีสกปรกสารพัดสารพัน จนลืมนึกไปว่าเขาผู้ที่มีความเห็นแตกต่างจากเรานั้นก็เป็นคนคนหนึ่งที่มีศักดิ์ศรี และมีสิทธิสมบูรณ์แบบในฐานะสมาชิกคนหนึ่งในสังคม ซึ่งสิทธิและศักดิ์ศรีของเขามิได้ต่ำต้อยด้อยกว่าสิทธิและศักดิ์ศรีของเราแม้แต่น้อย
สภาพการณ์ของสังคมไทยในยุคเกือบ 20 ปีมานี้ โดยเฉพาะในสังคมการเมืองไทยนับว่ามีความน่าเป็นห่วงเป็นอย่างมาก เพราะต่างฝ่ายต่างมองกันด้วยสายตาของศัตรูคู่อาฆาต โดยไม่เหลือความเป็นเพื่อนร่วมชาติให้แก่กันและกันอีกต่อไป ต่างฝ่ายต่างมองฝ่ายที่คิดไม่เหมือนตนและเชื่อแตกต่างจากตนว่าเป็นฝ่ายผิด เป็นคนโง่เขลา เป็นผู้ทำลายชาติ เป็นผู้บ่อนทำลายความสงบสุข ซึ่งเป็นการมองด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยอคติและหยามเหยียดกันและกัน อีกทั้งยังพยายามข่มและกดฝ่ายที่อยู่ตรงข้ามกับตนเองว่าเป็นคนต่ำทราม ต่ำต้อยด้อยค่าไร้ความเป็นคน บางครั้งก็มองอย่างเลวร้ายว่า คนที่อยู่ตรงข้ามกับตนนั้นสมควรตาย ดังนั้นเมื่อเกิดการเผชิญหน้ากัน จึงนำไปสู่ความรุนแรงอย่างแสนสาหัส และนำไปสู่การฆ่าฟันกันราวกับไม่เคยเห็นว่าอีกฝั่งหนึ่งเป็นเพื่อนร่วมชาติของเรา
คนในสังคมไทยทุกคนควรจะต้องตั้งสติให้มั่น แล้วหันกลับมาทบทวนพฤติกรรมของตนเองในเรื่องราวและมุมมองทางการเมือง โดยเฉพาะในยามที่ต้องเผชิญกับปัญหาความขัดแย้งในเรื่องผลประโยชน์ทางการเมือง เราทุกคนควรจะต้องเคารพในความเป็นมนุษย์ของกันและกัน รับฟังซึ่งกันและกัน ต้องอดทนอดกลั้นต่อกันและกัน และเป็นเรื่องจำเป็นและสำคัญมากที่สังคมไทยจะต้องเหลือพื้นที่ว่างไว้สำหรับแต่ละฝ่าย โดยพื้นที่ดังกล่าวนั้นจะถูกใช้เพื่อให้ทุกฝ่ายได้สามารถใช้เป็นเวทีสำหรับเจรจาร่วมกันเพื่อหาทางออก และร่วมกันประสานผลประโยชน์ระหว่างกัน และใช้เป็นเวทีสำหรับขจัดความขัดแย้งระหว่างกัน โดยต่างฝ่ายต่างยึดมั่นในหลักของความมีเหตุมีผล ความเสมอภาพ ความเป็นธรรม และต้องเคารพในความเป็นมนุษย์ของกันและกันอย่างแท้จริง
สังคมไทยจำเป็นต้องมีความอดทนและอดกลั้นทางการเมือง และในทุกๆ เรื่องให้มากกว่าที่เป็นอยู่ เราต้องช่วยกันเตือนสติของกันและกันให้รู้จักข่มใจ และยอมเปิดใจให้กว้าง ยอมรับฟังความคิดของกันและกันด้วยความสุขุมรอบคอบ และต้องไม่มองว่าความแตกต่างคือความแตกแยก และต้องไม่ใช้การประหัตประหารกันเมื่อมองในเรื่องใดเรื่องหนึ่งไม่ตรงกัน
อย่างไรก็ตาม เมื่อพูดถึงเรื่องความคิดเห็นที่แตกต่างกันของคนในสังคมไทย ก็ขออนุญาตพูดถึงคลิปเพลงแร็พ “ประเทศกูมี” ที่หลายฝ่ายกำลังให้ความสนใจ โดยบางฝ่ายบอกว่าผู้ทำเพลงนี้มีความผิดทางกฎหมาย แต่ในอีกมุมหนึ่งก็มีผู้คนจำนวนไม่น้อยมองว่าเนื้อหาในเพลงแร็พที่ว่านี้เป็นการสะท้อนความเป็นจริงในหลายๆ เรื่องที่เกิดขึ้นกับสังคมไทย
มีการตั้งข้อสังเกตว่าผู้ทำเพลงแร็พชุดนี้ต้องการจะฟ้องความจริงที่บังเกิดกับสังคมไทยให้เพื่อนร่วมชาติ และเพื่อนต่างชาติได้รับทราบ แต่ก็มีอีกฝ่ายหนึ่งมองว่า ผู้ทำเพลงนี้กล่าวความเท็จและจงใจทำลายล้างประเทศไทย ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับว่ามองจากมุมไหน แต่ไม่ว่าจะมองเพลงนี้จากมุมไหนหรือแง่ใด ก็ขอให้อย่าลืมความจริงที่บังเกิดกับประเทศไทย
ต้องยอมรับว่าเนื้อหาในเพลงนี้มีความจริงอยู่หลายประการ แต่ความจริงนั้นอาจจะทำให้ใครบางคนทนรับความจริงไม่ได้ เพราะความจริงมันทำให้คนบางคนที่กระทำผิดอย่างโจ่งแจ้งรู้สึกโดยทันทีว่าโดนสังคมใช้มือตบหน้าหรือใช้เท้าถีบหน้า
มีบางกลุ่มวิพากษ์ว่ารัฐบาลทหารไม่ยอมรับความจริงที่เพลงนี้ได้ตีแผ่ความผิดพลาดและความเลวร้ายที่เกิดขึ้นในสังคม แต่ในอันที่จริงแล้วก็ต้องให้ความเป็นธรรมกับทหารหลายคนในรัฐบาลชุดนี้ เพราะทหารเหล่านั้นก็ไม่ได้ออกมาตีโพยตีพายใดๆ โดยตรงกับสาธารณะ (แต่ไม่ทราบว่าชี้นิ้วสั่งการให้ใครออกมาตีโพยตีพายแทนตัวเองหรือไม่) แต่เท่าที่เห็นคือมีผู้มีอำนาจรัฐซึ่งมิได้เป็นทหารออกมาโวยวายเรื่องนี้ ซึ่งก็นับว่าสุดแสนประหลาดมาก เพราะผู้ที่โวยวายนั้นก็เคยเป็นนักการเมืองที่ผ่านการเลือกตั้งมาก่อน และที่มากกว่านั้นคือนักการเมืองที่เข้าไปมีอำนาจรัฐโดยไม่ต้องผ่านการเลือกตั้งในปัจจุบัน ก็เคยแสดงพฤติกรรมขับไล่รัฐบาลเดิมที่มีพฤติกรรมฉ้อฉลปล้นประเทศมากก่อน
หากจะมีคำถามแย้งกลับว่า ก็ในเมื่อยังไม่มีหลักฐานชัดเจนมัดตัวว่ารัฐบาลชุดนี้ทำการฉ้อฉลปล้นประเทศเหมือนรัฐบาลบางชุด แล้วเหตุใดจึงจะมีประชาชนบางกลุ่มลุกขึ้นมาขับไล่รัฐบาล หรือตั้งคำถามกับรัฐบาล ก็ต้องตอบว่าเป็นเรื่องปกติที่ประชาชนจะต้องตั้งคำถามกับพฤติกรรมบางอย่างที่แสดงออกถึงความไม่น่าไว้วางใจของรัฐบาล หรือผู้มีอำนาจรัฐชุดปัจจุบันจะบีบบังคับให้คนทุกคนต้องมองแล้วเห็นว่ารัฐบาลขาวสะอาดปราศจากมลทินและราคีทั้งปวง ถ้าหากรัฐบาลมั่นใจเกินร้อยเปอร์เซ็นต์ว่าตนเองขาวสะอาดบริสุทธิ์ไร้มลทิน ก็จงชี้แจงแถลงไขให้ประชาชนได้เข้าใจโดยท่องแท้ แต่ไม่ควรใช้อำนาจใดๆ ปิดปาก ปิดกั้นความคิด หรือห้ามประชาชนตั้งคำถามต่อกับรัฐบาล
ผู้เขียนและประชาชนอีกจำนวนไม่น้อยที่ได้ดูคลิปเพลงแร็พที่กำลังเป็นที่กล่าวขานในขณะนี้ต่างมีความเห็นว่า ผู้ทำเพลงนี้และผู้ร้องเพลงนี้ต้องการตั้งคำถามให้คนในสังคมไทยได้ร่วมกันคิด ร่วมกันตอบคำถามต่างๆ ที่เขาเห็นว่ามันได้เกิดขึ้นในสังคมแห่งหนึ่ง เขาไม่ได้ระบุด้วยซ้ำไปว่าสังคมที่เขาตั้งคำถามในเพลงนี้คือประเทศไทย แต่ถ้าหากประเทศไทยจะมีปัญหาเหมือนที่เขาตั้งคำถาม ก็เป็นอีกประการหนึ่ง แต่อย่างไรก็ตาม เขาไม่ได้บีบบังคับว่าทุกคนต้องเชื่อตามเพลงของเขา
ขอให้ผู้มีอำนาจรัฐ และขอให้คนไทยทุกคนเปิดใจให้กว้าง แล้วยอมรับฟังคำถามของประชาชน จงให้อิสระในการตั้งคำถามกับประชาชน หากรัฐบาลหรือผู้มีอำนาจรัฐไม่ผิด ก็จงชี้แจงให้เขารับทราบความจริง ขอย้ำว่าอย่าปิดกั้นคำถาม อย่าปิดกั้นความคิดของประชาชน จงปล่อยให้เขาถาม หากคำถามของเขาไร้ความน่าเชื่อถือหรือไร้เหตุผล ประชาชนจะเป็นผู้พิพากษาผู้ตั้งคำถามด้วยตัวเอง แล้วถ้าหากผู้มีอำนาจรัฐทำทุกสิ่งทุกอย่างดีงามและสร้างผลประโยชน์โดยแท้จริงให้กับประเทศชาติแล้ว ประชาชนจะลุกขึ้นมาปกป้องรัฐบาลและผู้มีอำนาจด้วยพลังบริสุทธิ์ของพวกเขา
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี