ประเทศไทยของเรา กำลังเตรียมตัวเตรียมใจกลับเข้าสู่การเป็นสังคมประชาธิปไตยกันอย่างคึกคัก อีกทั้งประชาคมโลกก็รอคอยอย่างสนอกสนใจ และเป็นกำลังใจให้ เพราะต่างตระหนักในความสำคัญของไทยในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมทั้งในภูมิภาคคาบสมุทรอินเดียและแปซิฟิก
แม้จะเป็นเช่นนั้น แต่ก็ยังมีคนจำนวนไม่น้อยที่ยังรู้สึกวิตกกังวลกับการเลือกตั้งที่จะมาถึง นั่นมิใช่เพราะไม่ได้อยากกลับไปอยู่ในสังคมประชาธิปไตย หรือไม่ได้อยากเห็นการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร หรือผู้แทนของประชาชนพลเมือง หากแต่วิตกกังวลกันว่า สภาพบ้านเมือง หรือบริบทสังคมในวันนี้ ได้มีความพร้อมอย่างแท้จริงหรือไม่ ที่จะรองรับและต้อนรับการกลับมาของการเมืองในระบอบประชาธิปไตย นั่นก็เพราะต่างได้เห็นกับตาว่า สภาพแวดล้อมของสังคมไทยในวันนี้ ดูไม่น่าจะเอื้ออำนวยให้ประชาธิปไตยเบ่งบาน หรือก้าวหน้าไปได้อย่างเต็มที่
ปัจจัยและสภาพแวดล้อมก่อนการปฏิวัติรัฐประหารก็ยังคงอยู่ มิได้หายไปไหน นั่นก็เท่ากับว่าสังคมไทยกำลังกลับไปต้อนรับ อ้าแขนรับสภาวการณ์การเมืองช่วง 2544-2557 โดยประมาณให้กลับมาดำเนินการต่อในปี 2562 นั่นเอง
โดยที่ซาๆ กันไป ในช่วงปี 2557 จนจะถึงปี 2562 ก็เพราะการปฏิวัติของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ได้แทรกเข้ามาใช้อำนาจหยุดยั้ง แต่มิได้ดำเนินการแก้ไข ชำระล้างสภาพแวดล้อมการเมืองหลังการปฏิวัติรัฐประหาร เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2557 แต่อย่างใด
และปัจจัยซ้ำเติมการเมืองไทยที่สำคัญที่สุด หลังการเลือกตั้งในปี 2562 ก็คือ การที่ฝ่ายกองทัพตั้งใจกระโดดลงมา “เล่นการเมือง” อย่างโจ่งแจ้ง และเต็มที่อีกด้วย ซึ่งหมายความว่า สถานการณ์ที่ประชาธิปไตยถูกกลุ่มการเมืองสามานย์บ่อนทำลายย่อยยับไปแล้ว บัดนี้ยังจะถูกผสมโรงด้วยฝ่ายทหารการเมืองอีกด้วย
จึงมีการคาดการณ์กันว่า หลังเลือกตั้งคราวนี้การเมืองน้ำเน่า คงจะได้มีสภาพเน่าขึ้นอีก ซึ่งได้กลายเป็นความหนักใจของประชาชนชาวไทย ที่เป็นเจ้าของประเทศร่วมกัน
การเมืองไทยที่เรียกว่า อาการหนักอยู่แล้ว ก็คงจะเข้าขั้นโคม่า เพราะว่าการปฏิรูปที่ชาวไทยทั้งหลายคาดหวังเอาไว้ มิได้เกิดขึ้นจริง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการกระจายอำนาจ การเพิ่มขยายการมีส่วนร่วมกระบวนการยุติธรรม การลดขจัดการกระจุกตัวของอำนาจ อิทธิพล และความมั่งมีศรีสุข และการไม่ยอมค้นหาความจริง และข้อเท็จจริงที่เป็นมูลเหตุแห่งความขัดแย้ง รวมถึงการประหัตประหารเผชิญหน้า
ร่วม 5 ปีที่ผ่านมา สังคมได้เห็นเพียงแต่ การฝังเสาเข็มลงรากของการเป็นส่วนหนึ่งของการเมืองอย่างแข็งขันของฝ่ายกองทัพ รวมทั้งการวางแผนเพิ่มอำนาจให้กับฝ่ายข้าราชการประจำ เพื่อให้เป็นมือเป็นเท้าให้แก่กลุ่มอำนาจทหารการเมือง บวกการเมืองน้ำเน่าในอนาคต
สังคมไทยที่ประสบกับประชาธิปไตยที่มีการเมืองทุนนิยมสามานย์ มาหลายสิบปี บัดนี้ยังเคราะห์ซ้ำกรรมซัดเข้าไปอีก ด้วยกลุ่มข้าราชการทหาร-พลเรือน ที่ฝักใฝ่อำนาจการเมือง ซึ่งจะทำให้ประชาธิปไตยแบบตัวแทน และการมีส่วนร่วม กลายเป็นเพียงเปลือกนอก โดยสาระเนื้อหาภายใน คือประชาธิปไตยแบบควบคุมสังคม ผ่านกลไกรัฐ (ข้าราชการ) เป็นใหญ่
แล้วที่ร้ายแรงไปกว่านั้นก็คือ บรรดาพรรคการเมืองส่วนใหญ่ ต่างก็พร้อมที่จะยอมสิโรราบให้กับฝ่ายข้าราชการฝักใฝ่การเมืองและทุนนิยมสามานย์ เพียงเพื่อจะให้พวกพ้องตนเอง ได้มีส่วนในอำนาจรัฐเท่านั้น โดยทำเป็นลืมเลือนประชาชนเจ้าของประเทศไปก่อน
นอกจากการเมืองจะเน่าขึ้น ประเด็นปัญหาสังคม และเศรษฐกิจ ก็จะทับถมขึ้นอีก เพราะตลอด 5 ปีของรัฐบาล คสช. นั้นเต็มไปด้วยการใช้จ่ายเงินงบประมาณ มากกว่าการหาเงินเข้ารัฐ และการใช้งบภาษีราษฎรเหล่านั้น มิได้เป็นไปเพื่อการสร้างความเสมอภาคภายในสังคม
ในวันนี้ ความหวังในการก้าวหน้าสู่ประชาธิปไตยของชาติไทยก็เลยดูริบหรี่ กองทัพที่เคยเป็นพระเอกขี่ม้าขาว ก็มิได้ทำตามสัตย์สาบาน จะหันหน้าไปพึ่งพรรคการเมือง ก็กองกันอยู่แทบเท้าของผู้มีอำนาจ
ก็คงเหลือแต่ประชาชนไทยเท่านั้น ที่จะต้องยืนบนแข้งขาของตนเอง โดยเฉพาะผู้มีชื่อเสียง มีแรงขับดันสังคม จะต้องออกมาช่วยกัน มาร่วมแรงร่วมใจกัน แสดงตัวให้พวกอำนาจนิยมได้เห็นว่า เราน่ะเป็นเจ้าของประเทศตัวแท้จริง จะมาทำอะไรตามอำเภอใจมาฮั้วกันทางการเมืองเพื่อหวังจะได้ดิบได้ดีมีตำแหน่งในรัฐบาล แล้วเอางบประมาณชาติไปล้างผลาญกันโดยไม่ใส่ใจประโยชน์ส่วนรวมไม่ได้
หากประชาชนผู้ห่วงใยบ้านเมืองยังคงนิ่งเฉย ไม่พูดอะไรกันเลย ชาติบ้านเมืองก็คงล่มจมลงไปเรื่อยๆ เป็นแน่แท้
กษิต ภิรมย์
kasitfb@gmail.com
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี