ประเทศไทยเรานั้นมีสิทธิเสรีภาพในการเลือกนับถือศาสนา ความเชื่อถือในสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ควรแก่การเคารพบูชากันมาช้านาน
แม้คนไทยส่วนใหญ่เป็นชาวพุทธ เคารพบูชาพระพุทธรูป ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ขององค์สัมมาสัมพุทธเจ้าผู้ปรินิพพานล่วงลับไปแล้ว เคารพในความศักดิ์สิทธิ์และสงบร่มเย็นของวัดวาอาราม ศาสนสถาน ซึ่งทุกคนต่างมีความหวงแหน และไม่ต้องการให้ผู้ใดมาละเมิด หรือทำการอันมิบังควร รวมทั้งไม่ประสงค์ให้ผู้ใดมาดูหมิ่นดูแคลนหลักธรรมคำสั่งสอนของพระพุทองค์
ซึ่งในทางกลับกันแล้ว ชาวไทยพุทธก็ยังได้ให้ความเคารพ และให้เกียรติแด่ศาสนา และความเชื่อถืออื่นๆ รวมถึงผู้นับถือศาสนานั้นๆ และชาวไทยพุทธก็ดำรงชีวิตบนพื้นฐานของแนวคิดและหลักปฏิบัติที่ว่าความนับถือและเชื่อถือของตนนั้น มีความเป็นเลิศ หรือเหนือกว่าของผู้อื่นที่ต่างศาสนาแต่อย่างใด
ณ วันนี้ เป็นเวลานานหลายปีแล้วที่องค์สันตะปาปา ประมุขของคริสต์ศาสนจักร นิกายโรมันคาทอลิก ได้ทรงส่งสาส์นแสดงความยินดีต่อประมุขของศาสนาต่างๆ ในวันสำคัญของศาสนานั้นๆ ซึ่งสาส์นสำหรับชาวพุทธศาสนา ก็ถูกส่งมาในวัน
วิสาขบูชา โดยชาวไทยคริสต์ก็รู้สึกชื่นชมยินดีด้วย
ศาสนาอิสลาม ก็มีคำสั่งสอนว่า ความเชื่อถือของพวกเขาก็เป็นเรื่องของพวกเขา ความเชื่อถือของผู้อื่นก็เป็นเรื่องของผู้อื่น สะท้อนการยอมรับซึ่งกันและกัน และการอยู่ร่วมกันท่ามกลางความต่าง จึงเห็นได้ว่า ชาวไทยอิสลามก็สามารถอาศัยบนแผ่นดินไทยที่มีความหลากหลายทางความเชื่อ ได้อย่างผาสุกมาช้านาน
ซึ่งจะเห็นได้ว่าทุกศาสนาสอนให้ผู้คนอยู่ร่วมกันไม่เบียดเบียน ไม่รังแก ข่มเหง และไม่เอารัดเอาเปรียบกัน
ศาสนาส่วนใหญ่นับถือเรื่องพระผู้เป็นเจ้า ก็สั่งสอนว่า ทุกคนเป็น “ลูก” พระเจ้า เป็นสิ่งที่พระเจ้า “สร้าง” ขึ้นมา ฉะนั้นจะทำลายล้างกันเองมิได้ เพราะมิได้มีสิทธิ หรือเป็นเจ้าของผู้อื่นใด และมิได้มีผู้ใดอยู่เหนือผู้อื่น และการรักพระเจ้าก็คือ การทำแต่คุณงามความดีเท่านั้น
แต่มนุษย์เราบางคนบางหมู่เหล่า ก็ได้ทำการตีความคำสั่งสอนแตกต่างกันออกไป หรือขยายความตีความ บนพื้นฐานความเข้าอกเข้าใจที่เต็มไปด้วยความลุ่มหลงในตัวเอง ด้วยอวิชชา รวมทั้งความทะเยอทะยานถึงขั้นที่จะชี้เป็นชี้ตายผู้อื่นที่เห็นต่าง หรือที่ไม่เป็นที่ชอบอกชอบใจได้ เรื่องก็เลยกลับกลายมาเป็นปัญหาความแตกแยกของสังคมนั้นๆ และลุกลามไปยังสังคมอื่นๆ ด้วย เพราะเกิดการยอมรับ และการสร้างเครือข่ายเป็นขบวนการกันขึ้นมาเพื่อขจัดผู้คิดต่างเห็นต่าง นับถือต่าง ให้หมดสิ้นไป
นอกจากนั้นแล้ว ในโลกปัจจุบัน เรายังได้เห็นผู้มีอำนาจรัฐ ใช้ศาสนาเป็นเครื่องมือปกครองประเทศ ซึ่งดูผิวเผิน ก็อาจเห็นว่าการห้ามมิให้หมิ่น ละเมิด การนับถือศาสนาและความเชื่อถือนั้น เป็นสิ่งที่ดีที่ควรแต่ในทางปฏิบัติแล้ว กลับนำเอากฎเกณฑ์เหล่านี้ไปใช้ในการขจัด หรือกดขี่ ผู้เห็นต่างทางการเมือง หรือผู้ที่นับถือต่างศาสนา โดยมีบทลงโทษถึงขั้นแก่ชีวิต เป็นต้น วิธีการคือ การออกกฎหมายต้านมิให้มีการลบหลู่ ดูหมิ่นศาสนา (Blasphemy Law)
นอกจากการนำเอาคำสั่งสอนทางศาสนาไปตีความและแปลงเป็นกฎหมายเพื่อเป็นเครื่องมือของฝ่ายรัฐแล้ว กฎเกณฑ์นี้ก็ยังเป็นช่องทางให้พวกหัวรุนแรง พวกสุดโต่งทางศาสนาหนึ่งใด ซึ่งเป็นส่วนใหญ่ของสังคมนั้นๆ ใช้เป็นเครื่องมือในการบีบคั้นชนกลุ่มน้อยต่างศาสนาให้เลือกที่จะเข้ารีตของตน หรือไม่ก็จงย้ายไปอยู่เสียที่อื่นซึ่งหลายกรณี ก็มีการทำร้ายกันถึงแก่ชีวิต โดยน้อยครั้งที่ฝ่ายบ้านเมืองจะสามารถนำความยุติธรรมมาให้ เท่ากับเป็นการเปิดทางให้ผู้ทำความผิดเหล่านี้ลอยตัว อยู่อย่างลอยนวล เหนือกฎหมายได้ (Impunity)
ประเทศหนึ่งซึ่งมีปัญหานี้มากในปัจจุบัน ก็คือปากีสถาน โดยเมื่อประมาณ 30 ปีมาแล้ว รัฐบาลทหารภายใต้การนำของ นายพล อุล ฮัก (Ul-Haq) ได้ทำตนเป็นตัวตั้งตัวตีในการยกร่างกฎเกณฑ์ข้อบังคับว่า กิจอันเป็นการละเมิดศาสนาอิสลาม และได้มุ่งหน้าในการใช้กฎหมายนี้เป็นเครื่องมือขจัดทั้งคู่ต่อสู้ทางการเมือง ผู้ที่มีศาสนาที่ต่างออกไป เท่ากับว่ารัฐบาลเผด็จการทหารทำตนเป็นผู้ชำนาญการทางศาสนาเสียเอง
สังคมทุกสังคมควรจะบ่มเพาะ สั่งสอนให้ผู้คนรับความต่าง และเคารพความเชื่อถือของกันและกัน ไม่ควรมีการกระทำใดที่จะเป็นการตอกย้ำความต่าง และคุกคามกัน
จริงอยู่ว่า ความรู้เท่าไม่ถึงการณ์อาจจะมีอยู่บ้างในสังคม หรือบางส่วนอาจจะไร้สติยั้งคิด จนก่อให้เกิดการกระทำที่เป็นการละเมิด ลบหลู่ ดูหมิ่นศาสนาหนึ่ง แต่แทนที่จะลงโทษ โกรธแค้นกันแบบเอาเป็นเอาตาย ก็ควรจะเปลี่ยนเป็นเรื่องของการชี้แจงให้เข้าอกเข้าใจ และให้มีกล่าวขอโทษขอโพยออกมาต่อสังคม และสัญญาว่าจะไม่เกิดขึ้นอีก ซึ่งก็จะเป็นการเพียงพอแล้ว
การเร้าอารมณ์ทางการเมืองด้วยเรื่องศาสนานั้น สามารถกระทำได้ง่าย แต่เมื่อพลเมืองถูกจุดติดด้วยความอาฆาตแค้นทางความเชื่อ ทางศาสนาแล้ว มักแก้กันได้ยาก
ในประเด็นมิให้มีผู้ใดใช้ศาสนาเป็นเครื่องเล่นทางการเมืองเป็นอันขาด ชาวโลกสามารถใช้สังคมไทยเป็นแบบอย่าง เป็นกรณีศึกษาได้ ว่าเหตุใดชาวไทยต่างศาสนาจึงมิได้คิดประหัตประหารกัน แถมยังอยู่กันอย่างถ้อยทีถ้อยอาศัย
กษิต ภิรมย์
kasitfb@gmail.com
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี