ตอนที่ 2
หลักการมีเหตุมีผลของนิติธรรม
หลักของการใช้ตัวบทกฎหมายอย่างมีเหตุมีผล (Reasonableness) ซึ่งมีความสำคัญยิ่งยวดและอาจจะเป็นสิ่งจำเป็นที่ต้องใช้เพื่อทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างหลักนิติธรรมและหลักเศรษฐศาสตร์ช่วยสร้างความแข็งแกร่งให้ซึ่งกันและกัน บริบทของนิติธรรมจะสร้างให้สังคมเกิดภาวะมีเหตุมีผลมากยิ่งขึ้นโดยเฉพาะเมื่อมีหลักปฏิบัติที่โปร่งใสและไม่เอนเอียง
หลักเศรษฐศาสตร์ซึ่งมักจะมีสมมุติฐานว่ามนุษย์มีความมีเหตุมีผลจึงจะมองปัญหาในด้านที่ไม่ตรงต่อความเป็นจริงเสมอไป ความเป็นจริงที่ก่อให้เกิดปัญหากับหลักเศรษฐศาสตร์อยู่เป็นเนืองคือ ความไร้เหตุผลของมนุษย์ที่นำไปสู่วิกฤติครั้งแล้วครั้งเล่า การนำหลักนิติธรรมมาปฏิบัติควบคู่กับหลักเศรษฐศาสตร์จึงอาจจะมีผลทำให้พฤติกรรมมีหลักยึดเหนี่ยวที่เป็นเหตุเป็นผลมากขึ้นได้บ้าง ซึ่งจะทำให้การวางนโยบายเศรษฐกิจและการคาดคะเนภาวะเศรษฐกิจเป็นในลักษณะที่มีผลน่าเชื่อถือมากขึ้น หลักของการมีเหตุมีผลของนิติธรรมตรงกับหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงที่สามารถแก้ปัญหาการบกพร่องทางจริยธรรม (moral deficit) ด้วยการให้แนวทางในการมีเหตุมีผลในการพิจารณานโยบายและแก้ไขปัญหาซึ่งแตกต่างกันออกไป ยกตัวอย่างเช่นปัญหาของประเทศที่ยากจนกว่าย่อมจะไม่จำเป็นต้องใช้วิธีแก้ปัญหาเหมือนในประเทศร่ำรวยเสมอไป หรือแม้การยึดแบบแผนในการพัฒนา เช่น การเป็นเสือตัวต่อไปของเอเชีย หรือการก้าวข้ามเศรษฐกิจรายได้ปานกลางการใช้มาตรการพัฒนาเทคโนโลยี การแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำ ฯลฯ ก็ต้องคำนึงถึงข้อเท็จจริงและพฤติกรรมในโลกของความเป็นจริงก่อนสิ่งอื่นใด
ในประวัติศาสตร์เศรษฐกิจมีเหตุการณ์ที่แสดงให้เห็นความสำคัญของหลักการมีเหตุมีผลอยู่หลายวาระที่ควรจะนำมาประกอบการพิจารณา
1. นักเศรษฐศาสตร์การเมืองชาวอังกฤษ John Stuart Mill ผู้เขียนบทความโด่งดังมากที่ชื่อ “On Liberty” จากสมัยศตวรรษที่ 19 ถือได้ว่าเป็นผู้ย้ำแนวทางของความมีเหตุมีผลมากที่สุด เรียกได้ว่าเป็นแชมป์ของการใช้หลักเหตุผล เป็นผู้ที่ริเริ่มแนวทางการใช้ความหลากหลายทางความคิด เน้นทางค้นหาความจริงซึ่งนำไปสู่สังคมที่เปิดกว้างทางด้านการมีประสิทธิเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น
ส่วนศาสตราจารย์ John Jackson จากมหาวิทยาลัย Georgetown ผู้เป็นบิดาของกฎระเบียบพื้นฐานขององค์การการค้าโลก ได้แนะนำการมีเหตุผลในการใช้ระบบตลาดเสรีโดยมี
คำเตือนว่า “ตลาดที่ทำงานได้ดีต้องมีกฎระเบียบกำกับที่ดีเท่านั้น”
2. ในประวัติศาสตร์ การออกกฎหมายเศรษฐกิจของอังกฤษมีข้อน่าศึกษาของกฎหมายการค้าขายข้าวโพดที่ชื่อ Corn Law ในศตวรรษที่ 9 ซึ่งเป็นตัวอย่างของการออกกฎหมายโดยขาดเหตุผลที่ถูกต้องและการแก้ไขอย่างมีเหตุมีผล ในค.ศ. 1815เมื่อสงครามนโปเลียนจบลงในยุโรป เกษตรกรเกรงว่าราคาสินค้าเกษตรจะลดต่ำลงอย่างรุนแรงจึงทำให้เกิดการเรียกร้องให้รัฐบาลเข้ามาจัดระเบียบการค้าสินค้าเกษตรโดยเฉพาะข้าวโพด ในช่วงเวลานั้นรัฐสภามีสมาชิกที่ส่วนใหญ่เป็นเข้าจองที่ดินเกษตรที่ร่ำรวยจึงร่วมกันกับเกษตรกรออกกฎหมาย Corn Law เพื่อเก็บภาษีขาเข้าของข้าวโพดอย่างรุนแรง ซึ่งมีผลในการกีดกันการนำเข้าและทำให้ราคาข้าวโพดในประเทศอยู่ในระดับที่สูง ซึ่งเป็นผลเสียต่อการพัฒนาอุตสาหกรรมเนื่องจากผู้ใช้แรงงานต้องมีภาระค่าครองชีพที่สูงขึ้นและเรียกร้องให้มีการขึ้นค่าจ้างแรงงานที่ทำให้เกิดปัญหาต่อการลงทุนในภาคอุตสาหกรรม ในที่สุดรัฐบาลของ Sir Robert Peel จึงร่วมกับประชาชนในการแก้ไขกฎหมายทั้งที่มีความขัดแย้งกันในพรรคอนุรักษ์นิยมอย่างรุนแรง เพื่อเปิดโอกาสให้มีการค้าสินค้าข้าวโพดที่เสรียิ่งขึ้น นับเป็นการเริ่มต้นของระบบการค้าที่มีเหตุมีผลและเป็นการเปิดศักราชของการค้าเสรีทั่วโลก
3. การเกิดขึ้นของวิกฤติเศรษฐกิจถดถอยที่รุนแรงที่สุดของโลกในปี 1929 (Great depression) ทำให้ตลาดหลักทรัพย์ในสหรัฐฯ ล่มสลายและธนาคารทั้งระบบล่มสลาย (ครั้งต่อมาจะเป็น sub-prime crisis ซึ่งก่อให้เกิดการตกต่ำของเศรษฐกิจโลกที่รุนแรงที่สุดใน ค.ศ. 2008 ซึ่งเรียกกันว่า Great recession และเกิดขึ้นจากระบบการเงินของสหรัฐฯ ซึ่งมักจะกล่าวหาระบบการเงินประเทศที่ยากจนกว่าอยู่เสมอว่า ไม่มีความโปร่งใสและมั่นคงเท่าตน)ทำให้รัฐสภาต้องผ่านกฎหมายที่ชื่อ Glass-Steagall Act (ค.ศ. 1933)ที่นับว่ามีเหตุมีผลในการช่วยแก้ไขปัญหาประการหนึ่งของสาเหตุการล่มสลายของระบบการเงินที่มีการเก็บกำไรอย่างผันผวนมากเกินพอดี ผลของกฎหมายนี้ คือ การแยกธุรกิจธนาคารพาณิชย์พื้นฐาน (รับฝากเงินให้กู้เงิน ให้สินเชื่อเพื่อการค้า) ออกจากธุรกิจวาณิชธนกิจ (investment banking) ที่ธนาคารใช้เงินฝากของลูกค้าเพื่อเก็งกำไรในการลงทุนในตราสารทางการเงินประเภทต่างๆรวมทั้งการลงทุนโครงการที่ธนาคารเข้าไปถือหุ้นเองด้วย นอกจากให้เงินกู้ยืมเงินไปแล้ว การออกกฎหมายนี้ทำให้ธุรกิจการธนาคารมีความเสี่ยงน้อยลงและก่อให้เกิดความเป็นระเบียบที่มีเหตุมีผลขึ้น
อย่างไรก็ดี ฝ่ายบริหารของรัฐบาลสหรัฐฯที่ฝักใฝ่ในระบบเสรีนิยมอย่างสุดกู่ในยุคประธานาธิบดี Clinton ได้เสนอให้แก้ไขกฎหมายนี้สำเร็จในปี 1999 และนำระบบธนาคารกลับไปสู่ยุคของ
การออกตราสารหนี้ ตราสาร securitized ตราสารที่เป็นการแปลงหนี้(derivatives) และ swap ประเภทต่างๆ ที่มีความเสี่ยงสูงโดยที่ผู้ลงทุนและบ่อยครั้งธนาคารเองก็ไม่สามารถหยั่งถึงความเสี่ยงของมันได้ ในที่สุดระบอบนี้ได้นำหายนะมาสู่ธนาคารสหรัฐฯ อีกในปี 2008 เมื่อธนาคาร Lehman Brothers (ที่เคยเข้ามาหากินในไทยและร่ำรวยไปจากการซื้อสินทรัพย์ที่ราคาถูกอย่างมากในช่วงวิกฤติปี 1997-98 และนำมาขายได้กำไรมหาศาลในช่วงต่อมา) ต้องล้มลงและเกิดปฏิกิริยาลูกโซ่ไปทั้งระบบธนาคารและกระทบไปจนทั่วโลก ในช่วง 2008-09 ทำให้รัฐบาลสหรัฐฯ ต้องออกโครงการช่วยชีวิต (bail-out) ของธนาคารยักษ์ใหญ่แทบทุกแห่ง เช่น Citibank, Bank of America, J.P. Morgan และ Well’s Fargo รัฐบาลยุคประธานาธิบดี Barack Obama จึงได้นำกฎหมาย Dodd-Frank Act เข้ามาใช้ในลักษณะใกล้เคียงกับ Glass-Steagall แต่กำหนดให้รัดกุมขึ้นในกรณีห้ามธนาคารพาณิชย์เกี่ยวข้องกับธุรกิจ hedge fund และการออก shadow banking instruments ทั้งหมดนี้ก็นับว่าเป็นการออกกฎหมายที่มีเหตุมีผลอีกเช่นกัน
แต่ในปัจจุบันรัฐบาลของประธานาธิบดี Trump กลับกำลังจะแก้กฎหมายเพื่อเปิดโอกาสให้ระบบธนาคารพาณิชย์สามารถมีเสรีภาพมากขึ้นที่จะทำธุรกิจต่อเนื่องได้เหมือนก่อนอีกแล้ว นักปราชญ์มักกล่าวถึงมนุษย์ที่ไม่เรียนรู้บทเรียนจากประวัติศาสตร์อยู่บ่อยครั้ง ครั้งนี้ก็จะเป็นอีกครั้งหนึ่งที่ผู้บริหารประเทศยอมจำนนต่อความต้องการของฝ่ายที่มีทรัพย์สินเงินทองและยอมที่จะละเลยต่อบทเรียนประวัติศาสตร์และละทิ้งหลักการของนิติธรรมที่เป็นเหตุเป็นผล
4. อย่างไรก็ดี ในระดับการค้าระหว่างประเทศ ตัวอย่างที่ดีของความมีเหตุมีผลยังถูกรักษาไว้อย่างดีในข้อตกลงขององค์การการค้าโลก (WTO) แม้ว่า WTO จะมีปัญหาในการเจรจาการค้ารอบ Doha แต่การรักษากฎระเบียบก็ยังเป็นไปอย่างเคร่งครัดตามข้อตกลงการยุติข้อพิพาท (Dispute settlement understanding) ที่สร้างความเป็นธรรมและเสมอภาคระหว่างประเทศสมาชิก WTO ไม่ว่าจะขนาดใหญ่อย่างสหรัฐฯ หรืออย่างเช่น เกาะเล็กๆ อย่าง Antigua-Barbuda ในภูมิภาค West indies ที่มีประชากรเพียงสามหมื่นกว่าคน(1)
1 เกาะ Antigua-Barbuda เคยชนะข้อพิพาททางการค้ากับสหรัฐฯ ในเรื่องการทำธุรกิจ online gambling ที่สหรัฐฯ อ้างว่า เมื่อทำจากประเทศอื่นต้องเป็นไปตามกฎหมายของประเทศนั้นๆ ในภายหลังสหรัฐฯ ออกกฎหมายUnlawful internet gambling enforcement ที่ขัดกับกฎระเบียบ GAPS (General Agreement on Trade in Services) ของ WTO
(โปรดติดตามตอนต่อไปในวันศุกร์หน้า)
ดร.ศุภชัย พานิชภักดิ์
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี