ฟังคำสัมภาษณ์ของเนติบริกรคนล่าสุดของรัฐบาลชินวัตร กรณีศาลปกครองสูงสุดพิพากษาให้นางสาวยิ่งลักษณ์ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนคดีโครงการรับจำนำข้าวเป็นจำนวนเงิน ๑๐,๐๒๘
ล้านบาท ทำให้นึกถึงคำให้สัมภาษณ์อีกบทหนึ่งของ อดีตเลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกาและประธานศาลปกครองสูงสุดท่านหนึ่ง ที่เคยให้ไว้กับหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งไว้นานแล้วว่า.....
“........ต่อให้คุณเก่งทางกฎหมาย แต่คุณไม่มีจิตใจที่เป็นธรรม นักกฎหมายนี่นะครับ ยิ่งเก่งเท่าไหร่ ถ้าไม่มีคุณธรรมยิ่งกว่าโจร คือสามารถทำให้อะไรเป็นอะไรได้หมด ทำขาวเป็นดำ ดำเป็นขาวนักกฎหมายที่ไม่สุจริต ผมเชื่อว่าอย่างนั้นนะ ถ้าไม่มีคุณธรรม โจรยังดีกว่า.........”
สำหรับนักกฎหมายและทนายที่ดีดี ถ้าได้ฟังคำกล่าวข้างต้นแล้ว ก็คงจะรู้สึกสะเทือนเป็นอย่างยิ่ง
และที่ว่าสะเทือนใจนั้น ก็เพราะสิ่งที่ท่านพูดเป็นข้อเท็จจริง จริงๆ
ในบทสัมภาษณ์เดียวกัน ท่านนักกฎหมายอาวุโส ผู้ยังเป็นที่ได้รับการเคารพนับถือจากนักกฎหมายดีดีที่กราบไหว้ท่านได้โดยสนิทใจ ไม่ต้องรีบไปล้างมือให้หายมัวหมองสกปรก ยังให้คติในการสอนกฎหมายในคณะนิติศาสตร์ สถานที่ซึ่งเป็นบ่อเกิดของนักกฎหมายที่ต่อไปจะถูกเรียกว่าเป็นนักฎหมายที่มีคุณธรรมที่ยังคงมีอยู่มากในบ้านเมืองนี้ หรือเป็นนักกฎหมายเพียงไม่กี่คนที่เลวยิ่งกว่ามหาโจร ต่อไปว่า...
“......เพราะการใช้อำนาจทางกฎหมาย ทำจนในที่สุด ผิดเป็นถูก อันนี้อันตรายที่สุด ประโยคแรกที่ผมสอนนักศึกษามากว่า 30 ปี เรียนกฎหมายไป ต้องเรียนไปเพื่อให้เกิดความเป็นธรรม ไม่ใช่เรียนไปเพื่อใช้กฎหมายเพื่อประโยชน์อะไรก็แล้วแต่ เพราะว่าอันตรายที่สุดเลย นักกฎหมายถ้าไม่มีความเป็นธรรมยิ่งกว่ามหาโจร....”
ท่านเน้นยิ่งกว่าโจรและมหาโจร
เพราะท่านกำลังจะบอกว่า.....การสอนกฎหมายที่ว่าต้องเรียนไปเพื่อให้เกิดความเป็นธรรม นั้นคือการ “ศึกษาอบรม” ความสำคัญอยู่ที่การ “อบรม” ที่ยากยิ่งกว่าการให้ “ศึกษา” เสียอีก
เพราะการศึกษานั้นเป็นเพียงการสอนให้มีความรู้ มีความรู้ในเรื่องกฎหมาย
แต่การ “อบรม” เป็นการสอนให้มี“ความคิด” ที่ถูกต้อง
การมีความรู้ในด้านกฎหมาย ยิ่งเก่งมากเท่าไหร่ หากปราศจากความคิดที่ถูกต้อง คือ “หายนะ” ของชาติบ้านเมือง เช่นที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ในขณะนี้
นับตั้งแต่เปลี่ยนแปลงการปกครอง ๒๔๗๕ ไม่มียุคใดสมัยใด ที่นักกฎหมายผู้รับใช้รัฐบาลจะถูกประณามและได้รับฉายา ที่ฟังแลัวรู้สึกสะเทือนใจในวงการวิชาชีพนักกฎหมายได้เท่ายุคสมัยนี้ ตั้งแต่รัฐบาลชินวัตรขึ้นเถลิงอำนาจ ในปี ๒๕๔๔ มาจนถึงทุกวันนี้
…. เนติบริกร.....ทนายหน้าหอ....ศรีธนญชัยลอดช่อง....ไฮเตอร์เซอร์วิส.....เครื่องจักรซักล้าง.....
ฉายาเหล่านี้ ล้วนบ่งบอกถึงความเสื่อมถอยทางธรรมจรรยาด้านวิชาชีพของบุคคลคนคนนี้หรือประเภทนี้
แม้ฉายาที่ว่านั้น จะมุ่งไปยังนักกฎหมายบางคนที่เป็นทาสรับใช้ผู้มีอำนาจหรือนักการเมืองที่ขาดจิตสำนึกในจริยธรรม มิได้หมายถึงนักกฎหมายทั่วๆ ไปก็ตาม แต่การได้รับฉายาเช่นนี้ ย่อมกระทบกระเทือนวงการวิชาชีพของนักกฎหมาย เช่นคำว่า “ยุคนิติศาสตร์กะล่อน”
ปัญหาสำคัญ ก็คือ จะทำอย่างไรที่จะไม่ให้มีนักกฎหมายประเภทนี้
การสอนและให้คติอย่างที่ท่านนักกฎหมายอาวุโส ทำมาแล้วกว่า 30 ปี นั้นถูกต้องที่สุด และก็เชื่อว่ามีอาจารย์หลายท่านที่สอนอย่างนี้เช่นเดียวกัน
ในคณะนิติศาสตร์หลายแห่งก็ได้มีการสอน“หลักวิชาชีพของนักกฎหมาย” ของท่านศาสตราจารย์จิตติ ติงศภัทิย์ อันเป็นคัมภีร์คุณธรรมของนักกฎหมาย ที่ได้สอนโดยตัวของท่านเองและอาจารย์อีกหลายท่านที่ได้สอนสืบต่อกันมา ภายหลังจากที่ท่านอาจารย์จิตติได้ถึงแก่อนิจกรรมไปแล้ว
แต่คัมภีร์คุณธรรมของนักกฎหมายเล่มนี้ยังเป็นอกาลิโกอยู่
นักกฎหมายที่ยิ่งกว่ามหาโจรเกือบทุกคนก็ได้เคยเรียนวิชานี้
อย่างไรก็ตาม พวกยิ่งกว่ามหาโจรบางคนเหล่านี้แทนที่จะถูก “อัปเปหิ” ออกไปจากวงการนักกฎหมาย โดยเฉพาะในคณะนิติศาสตร์
กลับถูกกราบเรียนเชิญมาสอนนักศึกษากฎหมายในคณะนิติศาสตร์ บางคนถึงขนาดเป็นผู้บรรยายพิเศษใน “หลักวิชาชีพของนักกฎหมาย”อีกด้วย
และที่น่าเศร้ายิ่งขึ้นไปอีก ก็เพราะในสังคมไทยทุกวันนี้ บุคคลประเภทนี้ไม่ได้มีอยู่เพียงแต่ในวงการนักกฎหมาย แต่มีแพร่กระจายอยู่ในทุกวงการทั้ง...พระสงฆ์องค์เจ้า ครูบาอาจารย์ ตำรวจ-อัยการ-ผู้พิพากษา ทหาร ข้าราชการ นักการเมือง รัฐมนตรี ไปจนถึงนายกฯ บางคน โดยเฉพาะนายกรัฐมนตรีตัวจริง (de facto PrimeMinister) ที่ไม่ใช่นายกฯ อำพราง (de jure Prime Minister)
ความเสื่อมถอยด้านธรรมจรรยาทางวิชาชีพของบุคคลประเภทนี้ ทำให้นึกถึงวลีอันลือลั่นที่ว่า “พระเจ้าตายแล้ว” (God is Dead) ของฟรีดริช นีตซ์เช่ (Friedrich Nietzsche)
นักปรัชญาชาวเยอรมัน ผู้มีชีวิตอยู่ในช่วงรัชสมัยรัชกาลที่ ๕
วลี “พระเจ้าตายแล้ว” ของนีตซ์เช่ไม่ใช่ความหมายตามตัวอักษร แต่เป็นข้อความเชิงเปรียบเทียบให้เห็นถึงความเสื่อมถอยของศาสนาคริสต์และความตกต่ำทางศีลธรรมของผู้คนในโลกสมัยใหม่ นิตซ์เช่มองว่าสังคมสมัยใหม่ไม่ได้ถูกขับเคลื่อนด้วยหลักธรรมคำสอน แต่เป็นความต้องการที่จะมีหรือได้มาซึ่งอำนาจ ซึ่งนิตซ์เช่เรียกว่า “เจตจำนงสู่อำนาจ” (The Will to Power) เพื่อเข้าถึงแหล่งที่มาของอำนาจ แนวคิดเรื่อง “อำนาจ” ของเขานั้นมีความสลับซับซ้อน ครอบคลุมไปในหลายมิติ ทั้งทางกายภาพ จิตวิญญาณ ภูมิปัญญา วัฒนธรรม วาทกรรม ไม่ใช่อำนาจในความหมายแคบๆ เชิงพละกำลังเพียงมิติเดียว โดยตัวนิตซ์เช่เองก็ไม่ได้ยินดีไปกับการสิ้นพระชนม์ของพระเจ้า (ในความหมายเชิงเปรียบเทียบ) เพราะมันเป็นเรื่องที่น่าเศร้าและอันตราย เพราะการไม่มีพระเจ้า ก็คือ การไม่มีแหล่งที่มาของคุณค่าทางศีลธรรม
ฉันใดก็ฉันนั้น บุคคลที่มีความเสื่อมถอยทางธรรมจรรยาวิชาชีพเป็นเจ้าเรือน เช่น ทนายโจร เนติบริกร หรือ อดีตเจ้าอาวาสที่ต้องกลายเป็นสมี รวมไปถึงพวกที่ทุศีลเสมอกันแล้ว สำหรับพวกเขานั้น “พระพุทธเจ้าตายแล้ว” (Buddha is Dead) แต่นั้นก็เป็นเพียงคนส่วนน้อย เพราะสำหรับคนส่วนใหญ่ในสังคมไทยแล้ว “Buddha never die”
ดร.ธิติ สุวรรณทัต
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี