ความจริงของกัญชา กัญชง และกระท่อม ที่ถูกคนขายชาติรับคำบงการของต่างชาติแล้วมาทำให้เป็นยาเสพติด ทั้งๆ ที่ความจริงไม่ใช่ยาเสพติด ได้ถูกเปิดเผยอย่างกว้างขวางในขณะนี้ เพราะมีผลการศึกษาวิจัยและการใช้สอย ทั้งต่างประเทศที่ไหลบ่าเข้ามาดุจกระแสน้ำหลากยามฤดูฝน ได้ทำให้สังคมไทยตื่นตัวรู้ความจริงมากขึ้น
ทั้งที่ความจริงนั้นทั้งกัญชา กัญชง และกระท่อม เป็นอาหารและยาของคนไทยมาช้านานแล้ว มีตำรับยามากมายหลายขนาน ทั้งตำรับหลวงและตำรับราษฎร์ เฉพาะตำรับหลวงก็มีหลักฐานชัดเจนว่ามีการนำกัญชามาใช้ในทางการแพทย์แผนไทยมาตั้งแต่สมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช
เมื่อครั้งสมเด็จพระปฐมกษัตริย์แห่งพระบรมราชจักรีวงศ์ทรงสถาปนากรุงรัตนโกสินทร์เป็นราชธานีแล้ว ก็มีการเก็บรวบรวมภูมิปัญญาวิทยาการทั้งหลายของไทยจารึกไว้ที่วัดโพธิ์ และมีตำรับยาไทยมากมายถูกจารึกไว้ แม้ว่าแผ่นจารึกบางแผ่นจะสูญหายไป แต่ร่องรอยที่เหลืออยู่ก็มีความชัดเจนว่าได้มีการบันทึกตำรับยาที่ใช้กัญชาอย่างแน่ชัด
แต่ก่อนมานั้นคนไทยไม่ค่อยเป็นโรคความดัน เบาหวาน หัวใจ โรคเครียด โรคซึมเศร้า โรคกรดไหลย้อน แม้กระทั่งโรคมะเร็งก็เพราะได้อาศัยพืชพันธุ์ธัญญาหารที่มีสรรพคุณเป็นยาใช้สอยกัน ทั้งในเชิงป้องกันและในเชิงการรักษา
ความจริงแล้วทั้งกัญชา กัญชง และกระท่อม ไม่ใช่ยาเสพติดเลย เอาแค่เปรียบเทียบกับบุหรี่ซึ่งมีขายกันทั้งบ้านทั้งเมือง และขายกันอยู่ทั่วโลกนั้น แม้ได้ชื่อว่ายาสูบเป็นสิ่งเสพติดชนิดหนึ่งก็เป็นสิ่งเสพติดที่สังคมโลกยอมรับกันอยู่ เพราะถือว่าสามารถเลิกเสียเมื่อใดก็ได้ ทั้งมีสารเสพติดน้อยกว่าน้อยมาก นั่นคือมีสารเสพติดไม่ห่างไกลกันกับกาแฟ ซึ่งทั้งบุหรี่และกาแฟก็ใช้สูบใช้กินกันทั้งโลกอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน
ถ้าหากถือบุหรี่เป็นตัวเปรียบเทียบ ก็มีความชัดเจนว่ากัญชานั้นมีสารเสพติดอยู่เพียง 1 ใน 10 ของกาแฟเท่านั้น ส่วนกัญชงนั้นมีสารเสพติดอยู่เพียง 0.01 ของกัญชา และความจริงก็ใช้สูบหรือเสพไม่ได้เพราะจะมีอาการปวดหัว แต่พวกคนชั่วขายชาติก็ยังสู้จับยัดเข้าไปเป็นยาเสพติด โดยอาศัยเหตุที่ว่าชื่อกัญชงคล้ายๆ กับกัญชา
ส่วนกระท่อมนั้นไม่ใช่ยาเสพติดใดๆ เลย แต่เป็นยาสามัญประจำบ้านที่สร้างพลังงานให้แก่ชีวิต ทำให้มีความแข็งแรง มีความกระชุ่มกระชวย มีความกระปรี้กระเปร่าและอารมณ์ดี ไม่คิดทะเลาะเบาะแว้งกับใคร กินกระท่อมแล้วก็จะปลอดจากโรคหลายโรค เช่น เบาหวาน ความดันและโรคเกี่ยวกับเลือดและทางเดินอาหารหลายอย่างจะมีข้อเสียอยู่อย่างเดียวเท่านั้นคือกินกระท่อมแล้วจะกลัวฝน แค่เห็นฝนตั้งเค้ามาก็จะหลบเข้าในที่มีที่กำบังแล้วแต่ก็มิใช่เป็นเรื่องร้ายแรงอะไร
เพราะเหตุที่กระท่อมมีคุณสมบัติเช่นนี้ ครั้นถูกยัดเยียดให้กลายเป็นยาเสพติดชีวิตคนไทยก็ขาดบางสิ่งบางอย่าง ดังนั้นในช่องว่างนี้จึงเกิดยาม้าขึ้นแทนที่ ซึ่งแรกเริ่มเดิมทีก็กินเพื่อให้มีความขยัน และทนต่อความง่วงนอน เป็นเหตุให้คนขับรถในตอนกลางคืนหรือที่ต้องทำงานต่อเนื่องกันมานิยมใช้ยาม้ากันเป็นการทั่วไป
ต่อมาก็มีการเปลี่ยนชื่อยาม้าเป็นยาบ้า เพราะพบว่ามีการเพิ่มสารเสพติดร้ายแรงที่เป็นพิษเป็นภัยต่อประสาทและจิตใจของผู้คน คือไม่เพียงแต่ทำให้คนนอนไม่หลับ มีอาการเหมือนคนขยัน แต่กลับทำให้มีอาการจิตหลอนเกิดขึ้น หนักเข้าก็เป็นโรคจิตหรือวิกลจริต ควบคุมสติไม่ได้ ขาดความรับผิดชอบชั่วดี และกลายเป็นปัญหาใหญ่ของสังคม เป็นอันตรายของสังคม
รัฐบาลจึงจำเป็นต้องปราบปรามยาบ้ากันอย่างขนานใหญ่ ยิ่งปราบยาบ้าก็แพงขึ้น แพร่หลายมากขึ้น จนกระทั่งเต็มไปทั้งบ้านทั้งเมือง จนตำรวจ อัยการ และศาล มีคดียาเสพติดจำพวกยาบ้ามากกว่าครึ่งหนึ่งของปริมาณงานในกระบวนการยุติธรรมทั้งหลาย ลุกลามไปถึงเรือนจำที่เต็มไปด้วยนักโทษยาเสพติด จนถึงวันนี้ก็หมดปัญญาที่จะแก้ไข
ถึงเวลาที่จะต้องตื่นขึ้นรับรู้ความจริงได้แล้วว่าเหตุที่ยาบ้าแพร่หลายจนเกิดเป็นพิษภัยร้ายแรงของสังคมอย่างทั่วด้านนั้นมีสาเหตุแท้จริงจากการขายชาติ ที่กำหนดให้กระท่อมเป็นยาเสพติด จึงเป็นเหตุให้มีการเปลี่ยนมาใช้ยาบ้าแทน
ดังนั้น เมื่อใดก็ตามที่สามารถทำให้กัญชา กัญชงและกระท่อมเป็นของถูกกฎหมายที่ประชาชนสามารถใช้เป็นอาหารและยาได้ดังที่เคยเป็นมาแต่ก่อนในไม่กี่วันยาบ้าก็จะหมดสิ้นไปจากแผ่นดินไทย เพราะคนจะหันไปกินกระท่อมแทน
บรรดาสารพัดโรคร้ายแรงหลายอย่าง ไม่ว่าความดัน เบาหวาน พาร์กินสัน โรคเครียด โรคซึมเศร้าก็จะหายไป ทั้งใช้เป็นยารักษามะเร็งและยาแก้ปวดได้อย่างดียิ่ง โดยเฉพาะอาหารการกินก็สามารถเลิกใช้ผงชูรสที่เป็นพิษเป็นภัยได้อย่างสิ้นเชิง กัญชาจะกลับกลายมาเป็นผงชูรสให้กับประชาชนเหมือนแต่ก่อนอีกครั้งหนึ่ง
พี่น้องเกษตรกรที่ปลูกมันสำปะหลังได้กิโลกรัมละ 2 บาท ข้าวโพดได้กิโลกรัมละ 4 บาท ปลูกยางได้3 กิโลกรัม 100 บาท และในไม่ช้านี้ก็จะต้องเลิกปลูกต้นปาล์ม เพราะน้ำมันปาล์มเป็นที่รังเกียจเพราะมีสารก่อมะเร็ง แล้วจะเอาพี่น้องเกษตรกรเหล่านี้ไปไว้ที่ไหน
เพียงแค่ทำกัญชา กัญชง และกระท่อม ให้เป็นของถูกกฎหมาย แล้วให้พี่น้องเกษตรกรทั่วประเทศปลูกกัญชาเพื่อการส่งออกหรือเพื่อขายในประเทศก็จะมีรายได้ถึงกิโลกรัมละ 12,000 บาท ปลูกเท่าไหร่ก็ไม่พอขาย เพราะเป็นที่ต้องการของทั่วโลก
จะไม่ดีกว่าปลูกมันสำปะหลังกิโลกรัมละ 2 บาทหรือต้องเอาผลปาล์มมาเผากันบนท้องถนนดังที่กำลังเกิดขึ้นในบ้านเมืองขณะนี้ นี่คือพืชเศรษฐกิจตัวใหม่ที่จะนำพาประเทศชาติให้มั่งคั่งร่ำรวยถ้วนหน้ากัน
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี