คุณเชื่อจริงๆ หรือว่าสังคมมนุษย์ทุกแห่งบนโลกใบนี้มีความเสมอภาคแท้จริง 100 เปอร์เซ็นต์ หากคุณเชื่อเช่นนั้น ก็ไม่จำเป็นต้องอ่านแล้วร่วมกันคิดตามบทความนี้ แต่สิ่งที่สำคัญมากกว่าของบทความนี้คือ อยากชวนคุณคิดไปด้วยกันว่า อะไรคือมูลเหตุของความไม่เท่าเทียมกันของสังคมมนุษย์ โดยเฉพาะประเทศไทย
สำหรับผู้เขียนแล้ว เชื่อและประจักษ์มาโดยตลอดว่าสังคมมนุษย์ไม่เคยมีความเสมอภาคกันเลยแม้แต่น้อย แม้แต่กระทั่งในบ้านและในสังคมของคนที่ชอบอวดอ้างว่าเต็มไปความเสมอภาคก็ยังไม่เคยมีความเสมอภาคโดยแท้จริง ซึ่งทุกอย่างก็เป็นไปตามบทบาทและสถานภาพของสมาชิกในครอบครัวนั้นๆ
ก็ในเมื่อความจริงแล้วความเสมอภาคไม่เคยเกิดขึ้นเลย แล้วทำไมจึงยังคงมีคนดัดจริตเรียกร้องหาความเสมอภาค แต่ที่น่าสังเวชยิ่งกว่าคือคนที่พยายามอ้างว่าตนเองรักความเสมอภาคนั้น เมื่อพิจารณาให้ลึกแล้วก็กลับพบว่าคนจำพวกนั้นคือคนที่มักฉกฉวยความได้เปรียบเหนือคนอื่นๆ ตลอดเวลา
แน่นอนว่าสังคมมนุษย์ทุกแห่งย่อมมีความเหลื่อมล้ำทางฐานะ ความเป็นอยู่ และมาตรฐานการดำรงชีพประจำวัน เช่น ฐานะความเป็นอยู่ที่ไม่เท่าเทียมกันระหว่างคนรวยระดับมหาเศรษฐีกับชนชั้นกลาง แล้วก็ไม่มีใครปฏิเสธความเหลื่อมล้ำระหว่างชนชั้นกลางกับชนชั้นล่าง ขอย้ำว่าคนปกติธรรมดาสามัญต่างยอมรับในความไม่เท่าเทียมนั้นมาโดยตลอด แล้วก็ไม่เคยมีคนสติดี
รายใดเรียกร้องให้คนรวยต้องกินอยู่เหมือนคนจน เพียงแต่เรียกร้องว่าขอให้คนรวยยุติการเอารัดเอาเปรียบคนจนเท่านั้น ขณะเดียวกันก็พยายามส่งเสริมให้คนจนต้องพัฒนาคุณภาพชีวิตของตนเองให้ดีขึ้นตามลำดับ แต่ไม่ได้หมายความว่าพัฒนาจนกลายเป็นคนรวยแบบลัดนิ้วมือ
ขอย้ำว่าความยุติธรรมไม่ใช่ความเท่าเทียม เหตุที่ต้องย้ำเช่นนี้ก็เพราะมักมีดัดจริตชนชอบอ้างว่าความเท่าเทียมนำมาซึ่งความยุติธรรม อย่าลืมว่าคนรวยที่มีคุณธรรมแม้จะมีความไม่เท่าเทียมกับคนจน แต่คนรวยที่มีคุณธรรมก็ไม่เคยรังแกหรือเอารัดเอาเปรียบคนจน
ความยุติธรรมหมายถึงคนทุกคนในสังคมเดียวกันต้องมีความเสมอภาคและเท่าเทียมกันทางกฎหมายและทางการเมืองในทุกกรณี มิได้หมายความว่าต้องมีบ้านใหญ่โต หรือมีรถยนต์คันโตเหมือนๆ กันทุกคน
เราต้องเลิกโกหกตัวเองได้แล้วว่า คนเราทุกคนเท่าเทียมกันในทุกกรณี เพราะยิ่งเรายังโกหกตัวเองไปเรื่อยๆ เราก็จะไม่สามารถแก้ปัญหาความไม่เท่าเทียมในสังคมของเราได้ แต่เราต้องยอมรับความจริงว่า เราทุกคนเกิดมาบนพื้นฐานทางเศรษฐกิจที่แตกต่างกัน เมื่อฐานเดิมต่างกันเสียแล้ว โอกาสต่อไปในอนาคตก็จึงยากที่จะเท่าเทียมกัน เช่น โอกาสทางการศึกษา โอกาสในการใช้ชีวิตและความเป็นอยู่ อย่าลืมว่าถึงอย่างไรคนด้อยโอกาสก็ไม่มีวันได้รับความสะดวกสบายในชีวิตเทียบเท่ากับคนระดับมหาเศรษฐี
ปัญหาสำคัญอยู่ตรงที่ว่า เราจะช่วยให้คนที่ด้อยโอกาสได้รับการช่วยเหลือที่เหมาะสมกับเขาอย่างไร ซึ่งการช่วยเหลือนั้นมิได้หมายความว่าคนทุกคนในสังคมต้องได้รับการช่วยเหลือเหมือนๆ กัน
ในทุกกรณี เพราะคนด้อยโอกาสแต่ละคนก็มีปัญหาในชีวิตแตกต่างกันไป ดังนั้นการช่วยเหลือที่ไม่เหมาะสมกับความต้องการของเขาก็จึงเท่ากับเป็นการช่วยโดยไม่ทำให้เกิดผลดีอย่างแท้จริงกับเขา
ดัดจริตชนในสังคมไทยชอบอ้างว่า สังคมไทยเป็นประชาธิปไตยเมื่อเป็นเช่นนั้นแล้วคนทุกคนจึงเท่าเทียมกันทุกกรณี ขอย้ำว่าพวกดัดจริตชน โดยเฉพาะพวกนักการเมืองจำพวกฟอกเงิน และพวกเน้นการทุจริตเชิงนโยบาย ซึ่งมีสถานะทางเศรษฐกิจดีอย่างน่าอัศจรรย์ โดยไม่สามารถชี้แจงที่มาที่ไปของทรัพย์สินที่ตนเองกอบโกยมาได้ มักจะดัดจริตประดิษฐ์วาจาทำนองนี้ขึ้นมาก็เพื่อผลประโยชน์ของตนเองเป็นสำคัญ แน่นอนว่าการเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตยนั้น คนทุกคนที่มีสิทธิเลือกตั้งเท่ากันคือลงคะแนนเสียงได้เท่ากัน แต่เราต้องไม่ลืมว่าคนที่มาจากฐานของสังคมที่ต่างกันย่อมมีข้อมูลข่าวสารและการตัดสินใจที่ต่างกัน เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว การอ้างว่าผลการเลือกตั้งด้วยการลงคะแนนเสียงเป็นสิ่งที่ถูกต้อง เป็นธรรม และบริสุทธิ์ขาวสะอาดในทุกกรณี จึงเป็นข้ออ้างที่ไม่น่าเชื่อถือเสมอไป
เพราะฉะนั้นจึงไม่ต้องประหลาดใจที่เราจะพบเสมอๆ ว่านักการเมืองจำพวกฟอกเงินต้องการให้มีการเลือกตั้งโดยเร็ว โดยไม่นำพาว่ากระบวนการและกรรมวิธีการเลือกตั้งจะบริสุทธิ์ยุติธรรมหรือไม่ เพราะการเลือกตั้งคือหนทางที่ช่วยให้คนเหล่านั้นได้อำนาจรัฐ แล้วใช้อำนาจรัฐโกงบ้านกินเมืองต่อไป
ดังนั้นเราจึงพบเห็นตลอดเวลาว่า เมื่อใครก็ตามขึ้นมามีอำนาจรัฐ ไม่ว่าจะได้อำนาจรัฐมาด้วยการเลือกตั้งที่สกปรกหรือมาจากการรัฐประหาร ผู้มีอำนาจรัฐก็มักจะอ้างว่าต้องการช่วยให้ประชาชนมีความเท่าเทียมกัน แต่กลอุบายที่ผู้มีอำนาจรัฐใช้กับประชาชนคืออ้างความเท่าเทียมด้วยวาจา แล้วหว่านเงินเพื่อซื้อคะแนนนิยมด้วยการมอมเมาให้ประชาชนติดใจกับการได้ของฟรี ซึ่งเราเรียกว่านโยบายประชานิยม
ขอยกตัวอย่างให้เห็นชัด เพื่อง่ายต่อการทำความเข้าใจในข้อเท็จจริงของสังคมไทย คือเรามีคนสูง 180, 150 และ 100 เซนติเมตร ตามลำดับ คนทั้งสามนี้อยู่หลังกำแพงสูง 150 เซนติเมตร หากให้คนทั้งสามยืนพบพื้นดินระดับเดียวกัน แน่นอนว่าคนสูง 180 เซนติเมตร ยอมมองเห็นภาพหลังกำแพงได้สบาย ส่วนคนสูง150 เซนติเมตร ก็พอจะเห็นได้บ้าง แต่อาจไม่ชัดเจนนัก ส่วนคนที่สูง 100 เซนติเมตร หมดสิทธิ์เห็นภาพหลังกำแพงอย่างแน่นอน ถ้าหากเราอ้างความเสมอภาคโดยให้ลังไม้สูง 30 เซนติเมตร กับคนทั้งสามคนละหนึ่งลัง ขอถามว่าจะช่วยแก้ปัญหาความไม่เท่าเทียมได้จริงหรือ แล้วจะทำให้เกิดความยุติธรรมกับคนทั้งสามได้จริงหรือ
ดังนั้นหากเราจะคิดมุมใหม่ว่า คนที่สูง 180 เซนติเมตรไม่ต้องได้รับลังไม้ เพราะเขามองเห็นภาพหลังกำแพงอยู่แล้ว ส่วนคนที่สูง 150 เซนติเมตร รับลังไม้ 1 ใบก็พอ ส่วนคนสูง 100 เซนติเมตรได้รับลังไม้ 2 ใบ ก็จะช่วยให้เขามองเห็นข้างหลังกำแพงได้มากขึ้นแบบนี้อาจจะดูว่าคนทั้งสามได้รับความช่วยเหลือโดยไม่ยุติธรรม เพราะคนที่สูงที่สุดไม่ได้รับลังไม้ แต่ทว่านี่คือการช่วยให้คนทั้งสามมีโอกาสมองเห็นภาพหลังกำแพงได้เหมือนๆ กัน แม้ในข้อเท็จจริงคนที่ได้รับลังไม้สองใบจะยังมองได้ในมุมที่ต่ำกว่าคนที่หนึ่งและสองก็ตาม แต่เขาก็ยังมองเห็นภาพได้
ปัญหาสาหัสอย่างหนึ่งของสังคมไทยคือ สมาชิกส่วนใหญ่ของเรามีปัญหาคุณภาพการศึกษาขั้นพื้นฐานอย่างมาก เมื่อได้รับการศึกษาน้อย แถมการศึกษาที่ให้กับคนส่วนใหญ่ก็ยังไม่มีคุณภาพ ไม่ได้มาตรฐานสากล นี่คือปฐมเหตุของการเสริมสร้างโอกาสในด้านอื่นๆ ของชีวิตในอนาคต ยิ่งสังคมได้รับข้อมูลข้อเท็จจริงน้อย ประชาชนเข้าถึงข้อมูลได้ยาก การรับรู้รายละเอียดในเรื่องสำคัญก็จึงยากลำบากตามไปด้วย นี่คือมูลเหตุที่ทำให้ประชาชนตกเป็นเหยื่อของนักการเมืองไร้จริยธรรม และเป็นต้นเหตุทำให้สังคมไทยเกิดปัญหานานัปการตามมา และถึงแม้รัฐบาลชุดต่างๆ จะรับรู้ปัญหานี้อย่างดีตลอดมา แต่ก็ไม่เคยมีรัฐบาลใดแก้ปัญหานี้อย่างจริงจัง ตรงกันข้ามกลับดูเสมือนว่ารัฐบาลพยายามทำให้ปัญหานี้คงอยู่ต่อไป เพื่อง่ายและสะดวกในการปกครอง และการใช้อำนาจรัฐเพื่อฉ้อฉลปล้นทรัพยากรของแผ่นดิน
เป็นความน่ารังเกียจมากที่คนซึ่งมีความเหนือกว่าอยู่แล้วในสังคมไทยมักจะได้รับโอกาสมากกว่าคนที่ด้อยกว่าตลอดเวลา รวมถึงการที่สังคมไทยมีระบบอุปถัมภ์ ดังนั้นการเล่นพรรคเล่นพวก
ใช้เส้นสายเพื่อผลประโยชน์โดยมิชอบของตนเองและพวกพ้องจึงเกิดขึ้นตลอดเวลา ดังนั้นคนด้อยโอกาสที่แม้จะมีความสามารถก็จึงถูกปฏิเสธโอกาสในการทำงานเสมอมา เพียงเพราะว่าเขาไม่มีพรรคไม่มีพวก
ไม่ต้องดูอะไรอื่นไกลเลย ดูจากการหนีคดีอาญาแผ่นดินโดยอดีตนักการเมืองทั้งหญิงและชายคู่หนึ่งก็ย่อมทำให้คนไทยผู้มีวิจารณญาณสามารถตอบได้ชัดเจนแล้วว่า มีความเสมอภาคในสังคมไทยหรือไม่ ถามว่าทำไมนักการเมืองชายหญิงคู่นั้นหลบหนีคดีอาญาแผ่นดินไปได้ ถามต่อไปว่าใครเป็นผู้อนุญาตให้คนทั้งสองหลบหนี และถามต่อไปว่า หากเป็นคนอื่นๆ แล้ว แม้เขาจะทำผิดกฎหมายน้อยกว่านักการเมืองทั้งสอง แต่ทำไมเขาจึงไม่สามารถหลบหนีไปได้ หรือถ้าหากหลบหนีไปได้ก็ตาม แต่ทำไมจึงถูกติดตามตัวกลับมาลงโทษได้ แล้วทำไมนักการเมืองสองคนดังกล่าวจึงไม่ถูกนำตัวกลับมาลงโทษบนศาลไทย เรื่องแบบนี้ยิ่งถามก็ยิ่งทำให้รับรู้ได้ชัดเจนว่า สังคมไทยมีความเท่าเทียมกันจริงหรือ
ยิ่งในขณะที่สังคมของเราถูกคนมีอำนาจรัฐและนักการเมืองพยายามปั่นหัวเรื่องความเท่าเทียมแบบเพ้อฝัน เราทุกคนในฐานะสมาชิกของสังคมก็ยิ่งจำเป็นจะต้องรู้เท่าทันเล่ห์กลวาทกรรมการเมืองเหล่านั้นให้มากขึ้น และเราจำเป็นต้องรู้ไว้ตลอดเวลาว่า คนมีอำนาจรัฐในสังคมไทยนี้แหละคือตัวการที่สร้างให้เกิดความไม่เท่าเทียมในสังคม
ขอถามปิดท้ายว่า คนมีอำนาจรัฐจำนวนไม่น้อยต่างก็มาจากคนธรรมดาสามัญ บางคนก็มาจากครอบครัวชาวไร่ชาวนา หรืออาจจะมาจากครอบครัวพ่อค้า ซึ่งก็ถือเป็นคนธรรมดาเช่นกัน แต่เหตุใดเมื่อเขาขึ้นไปมีอำนาจรัฐแล้ว เขาจึงกลายเป็นคนลืมตัว เป็นวัวลืมตีนจะไปไหนมาไหนแต่ละที เหตุใดต้องมีรถยนต์นำขบวน เหตุใดจึงไม่ทำตัวให้เหมือนเมื่อครั้งยังเป็นคนธรรมดา โปรดตอบคำถามนี้ให้กระจ่างด้วย เพราะคำตอบเรื่องนี้จะช่วยชี้ให้เห็นว่าแท้จริงแล้วเขาคือคนที่ให้ความสำคัญกับความเท่าเทียมจริงแท้แค่ไหน
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี