เมื่อเดือนสิงหาคม 2559 ประชาชนพลเมืองไทยได้รับโอกาสออกไปใช้สิทธิเสรีภาพในการแสดงความเป็นเจ้าของประเทศร่วมกัน ด้วยการไปลงคะแนนประชามติ เพื่อการให้ความเห็นชอบต่อร่างกฎหมายรัฐธรรมนูญ
โดยสถิติที่น่าสนใจในการลงประชามติครั้งนั้น มีดังนี้
- ผู้ออกมาลงคะแนน 29,740,677 คน คิดเป็น 59.4% จากผู้มีสิทธิ์ลงคะแนน
- ผู้ให้ความเห็นชอบ 16,820,402 คะแนน คิดเป็น 61.35% ของผู้มาใช้สิทธิ์
- ผู้คัดค้าน 10,598,037 คะแนน คิดเป็น 38.65% ของผู้มาใช้สิทธิ์
- คะแนนเสีย 936,209 คะแนน คิดเป็น 3.15% ของผู้มาใช้สิทธิ์
สรุปผลโดยรวมได้ว่า ร่างกฎหมายรัฐธรรมนูญดังกล่าวผ่านการเห็นชอบของประชาชนพลเมือง เนื่องจากชาวไทยที่มาลงคะแนนส่วนใหญ่ได้ตัดสินใจให้ความเห็นชอบมากเกินครึ่ง ทำให้กฎหมายรัฐธรรมนูญมีความถูกต้องชอบธรรม เป็นกฎหมายรัฐธรรรมนูญฉบับที่ 20 ของประเทศไทย (นับตั้งแต่มีการเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองจากสมบูรณาญาสิทธิราชย์สู่ระบอบประชาธิปไตยที่อำนาจเป็นของประชาชน)
แต่จากสถิติ ผู้ออกมาใช้สิทธิ์เพียง 59.4% ก็ทำให้อดคิดไม่ได้ว่า ยังเหลือผู้มีสิทธิ์อีก 40.6% ที่ไม่ได้มาออกเสียง ในขณะที่ประชากร 61.35% ที่ลงมติว่าเห็นด้วยกับร่างกฎหมายรัฐธรรมนูญนั้นก็ต่างด้วยหลายสาเหตุกัน อาทิ
เห็นชอบด้วยใจจริงจริง หรือเห็นชอบเพราะเนื้อหาส่วนใหญ่นั้นพอรับได้ ก็เลยสนับสนุนเห็นด้วย ทั้งๆ ที่ไม่ได้พอใจกับร่างกฎหมายรัฐธรรมนูญฉบับนี้ แต่การให้ผ่านไปก็เพราะเบื่อหน่ายกับรัฐบาลทหารนำพา แล้วคิดว่าการลงมติเห็นด้วย จะช่วยทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงโดยเร็ว ระบอบเผด็จการจะได้ไปจากสังคมไทยเสียที จะได้กลับไปสู่สังคมประชาธิปไตยที่มีความเสรี และประชาชนเป็นใหญ่ จะได้มีการเลือกตั้งตัวแทนไปทำหน้าที่บริหารบ้านเมืองกันเสียทีเห็นด้วยกับร่างกฎหมายรัฐธรรมนูญเพราะได้รับการบอกกล่าว หรือไม่ก็ทำไปตามเสียงผู้อยู่รอบข้างบางคนก็เห็นว่าให้ร่างกฎหมายรัฐธรรมนูญผ่านประชามติไปก่อน แล้วไปตายเอาดาบหน้า หรือไปแก้ไขกันวันข้างหน้า
อย่างไรก็ดี ด้วยหลักการเคารพเสียงส่วนใหญ่ ของระบอบประชาธิปไตย ทำให้ประชาชนพลเมืองไทยทุกคนจะต้องให้ความเคารพและปฏิบัติตามกฎหมายรัฐธรรมนูญฉบับนี้โดยเคร่งครัด จะบิดเบือนหลีกเลี่ยงไม่ได้ โดยเฉพาะฝ่ายคัดค้าน หรือฝ่ายที่ไม่เห็นด้วย เมื่อผลออกมาดังนี้ ก็ต้องยอมรับโดยปริยาย และเล่นตามกติกาที่ถูกกำหนดไป ยินยอมให้กฎหมายรัฐธรรมนูญมีผลบังคับใช้ ส่วนจุดใดที่ไม่พึงพอใจ ไม่เห็นด้วย ก็ให้ไปแก้ไขด้วยกระบวนการทางประชาธิปไตยเช่นรัฐสภา หรือการจัดการลงประชามติกันใหม่ในอนาคตต่อไป
และหากไม่มีอุบัติเหตุทางการเมืองใดๆ ในระหว่างนี้ การเลือกตั้งทั่วไปของประเทศไทย ก็จะถูกจัดขึ้นในวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2562 ซึ่งในวันนั้นก็จะเป็นอีกวันที่ประชาชนพลเมืองไทยได้แสดงตนร่วมกันว่าเป็นเจ้าของอำนาจประชาธิปไตย ไปใช้สิทธิ์ด้วยการเดินเข้าสู่คูหาเลือกตั้ง เพื่อเลือกผู้แทนราษฎร และหลังจากนั้น ประเทศไทยเราก็จะมีรัฐบาลชุดใหม่ที่มาจากการเลือกตั้งซึ่งไม่ว่าผลจะเป็นอย่างไร รัฐบาลดังกล่าวก็จะมีความถูกต้องชอบธรรมในการบริหารประเทศ รับใช้ปวงชนชาวไทย ตามกฎหมายรัฐธรรมนูญไทยฉบับที่ 20 นี้
แต่บรรยากาศหลังการเลือกตั้งที่รออยู่นั้น คงไม่ค่อยราบรื่นเสียทีเดียวนัก เพราะกฎหมายรัฐธรรมนูญฉบับที่ 20 มีจุดเริ่มต้นมาจากแนวคิดรวมศูนย์อำนาจ ผ่านการบริหารงานโดยข้าราชการนำพา ซึ่งเนื้อหาแบบนี้ดูจะจำกัดจำเขี่ยความเป็นประชาธิปไตยของสังคมไทย เพราะมิได้สนับสนุนการกระจายอำนาจไปสู่ท้องถิ่น และประชาชนอย่างที่ควรจะเป็นไปตามระบอบประชาธิปไตย
นอกจากนั้นแล้ว ผู้ที่กำกับการยกร่างกฎหมายรัฐธรรมนูญฉบับนี้ มีท่าทีว่าจะลงมามีส่วนได้ส่วนเสียกับอำนาจบริหารหลังการเลือกตั้ง ซึ่งเสมือน กรรมการผู้เขียน และกำกับกติกา ส่งทีมลงมาแข่งขันกับทีมอื่นๆด้วย โดยเฉพาะระหว่างการร่างกติกาดังกล่าว ผู้เล่นทีมอื่นก็ไม่เคยได้รับโอกาสให้แสดงความคิดเห็น หรือมีส่วนร่วมอีกต่างหาก เป็นการยกร่างกฎหมายรัฐธรรมนูญที่ไม่มีนักการเมืองอาชีพเข้าไปมีบทบาท เสมือนกำหนดกติกากันเองตามใจ แล้วให้คนอื่นมาแข่งกับตน
ส่วนการเปิดเวทีให้ประชาชนวิพากษ์วิจารณ์แสดงความคิดเห็น ก็เป็นเรื่องของการจัดฉากให้ดูดีมากกว่า เพราะสาระเนื้อหาของกฎหมายรัฐธรรมนูญที่เป็นประเด็นสำคัญที่สุด นั้นมีเป้าหมายเพื่อตอบสนองการคงอำนาจและการอยู่กับการเมืองของฝ่ายกองทัพ และระบบราชการ โดยปฏิเสธหลักการแบ่งแยกและคานอำนาจ หลักการมิให้ฝ่ายข้าราชการประจำเกี่ยวข้องกับการเมือง อีกทั้งมีการกำหนดองค์กรขับเคลื่อนประเทศที่มิได้มีความเกี่ยวโยงกับประชาชน และบังคับทิศทางของประเทศโดยมิคำนึงว่า ผู้ที่จะเข้ามาบริหารประเทศนั้นจะมาจากการเลือกตั้งโดยประชาชน และฉะนั้นจะต้องคิดอ่านด้วยตนเองมิให้ต้องถูกตีกรอบ หรือถูกบังคับให้ทำโน่นนี้ด้วยกลุ่มผู้คนที่ขาดความชอบธรรม (คณะกรรมการยุทธศาสตร์และคณะกรรมการเฉพาะกิจที่มีที่มาจากคำสั่งของฝ่ายรัฐบาลทหาร)
ในรูปการนี้ประชาธิปไตยของไทยจึงถูกตีกรอบ อำนวยอำนาจให้กับฝ่ายราชการทั้งที่ฝ่ายราชการควรอยู่ภายใต้การบังคับบัญชาของฝ่ายการเมืองตามหลักสากล
จึงไม่น่าแปลกใจ หากหลังจากนี้แล้วจะมีการวิพากษ์วิจารณ์ และมีความขัดแย้งในการตีความข้อกฎหมายรัฐธรรมนูญและกฎหมายลูกต่างๆ รวมถึงแนวทางปฏิบัติตามมาอย่างมากมาย ซึ่งจะก่อตัวเป็นความขัดแย้งที่ขยายตัวใหญ่ขึ้นในสังคมไทย หากผู้มีอำนาจเพิกเฉย ไม่รีบคิด ไตร่ตรอง ทบทวน ดำเนินการแก้ไขเสียแต่เนิ่นๆ
กษิต ภิรมย์
kasitfb@gmail.com
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี