ภาวะ “ตกนรกทั้งเป็น” เสมือนจมอยู่ในบ่อมลพิษ
เกิดขึ้นในพื้นที่หลายจังหวัด โดยเฉพาะที่กรุงเทพมหานคร
คือ สภาวะมลพิษจากฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM2.5
1. ฝุ่น PM 2.5 คือ ฝุ่นละอองที่มีขนาดจิ๋วมาก เล็กว่า 2.5 ไมครอน มองไม่เห็นด้วยตาเปล่า
สาเหตุมาจากการเผาไหม้เครื่องจักร เครื่องยนต์รถยนต์ การเผากลางแจ้งที่เผาไหม้ไม่สมบูรณ์ การก่อสร้าง ฯลฯ
ภาวะนี้จะหนักหนาในช่วงฤดูกาลหนาว (ธ.ค.-ก.พ.) อากาศเย็นและแห้ง ทำให้ฝุ่นไม่ลอยสูง ยิ่งถ้าอากาศนิ่ง พื้นที่แอ่ง ก็ยิ่งเสมือนจมอยู่ในบ่อมลพิษ
2. ภาวะนรกบนดินแบบนี้ ควรทำให้เราตระหนักว่า ต้นทุนผลกระทบสิ่งแวดล้อมมีจริง
ต้นทุนสุขภาพจากกิจกรรมต่างๆ เช่น รถยนต์ ก่อสร้าง อุตสาหกรรม ฯลฯ มีอยู่จริง
จะยอมให้มีการผลักภาระต้นทุนส่วนบุคคล มาเป็นต้นทุนสุขภาพของส่วนรวมต่อไป หรือไม่?
3. การแก้ปัญหา สังคมทุกภาคส่วนจะต้องตระหนักถึงต้นทุนผลกระทบที่มีต่อตัวเองอย่างจริงจัง
ทำให้เกิดเจตจำนงที่มุ่งมั่น ไม่ใช่แค่ไฟไหม้ฟาง
มิฉะนั้น ถ้าภาครัฐออกมาตรการกึ่งบังคับ ก็จะมีแรงฝ่าฝืน ไม่บังคับใช้ต่อเนื่อง ไม่มีวันสำเร็จ
4. มีตัวอย่างเรื่องราวการจัดการกับปัญหาคุณภาพอากาศในบ้านเราที่ไม่ได้รับรู้ในวงกว้าง และเป็นวิธีการที่แยบยล เด็ดขาด
ม.ร.ว.จัตุมงคล โสณกุล อดีตผู้ว่าการแบงก์ชาติ (ปัจจุบันเป็นหัวหน้าพรรครวมพลังประชาชาติไทย) ได้เขียนเล่าเรื่องราวที่น่าสนใจไว้ในเฟซบุ๊ค “หม่อมเต่า” ว่าด้วยการทำงานเงียบๆ อันหนึ่งของดร.ปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์ แต่มีผลดีต่อคุณภาพอากาศใน กทม. ความว่า
“...คนส่วนใหญ่คงไม่ทราบว่าดร.ปิยสวัสดิ์เป็นคนที่ลดกำมะถันในน้ำมันดีเซล จนกระทั่งอากาศสะอาดใสแจ๋วอยู่ทุกวันนี้แหละครับ ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย แต้มต่อมีอยู่สูง เล่าแบบง่ายๆ ก็แล้วกัน
เบนซินไม่ค่อยมีกำมะถันเท่าไร เพราะการกลั่นน้ำมันคือการเอาน้ำมันดิบมาต้มให้ระเหย ของที่หนักๆ เช่น กำมะถันก็จะตกไปอยู่ข้างล่างจะอยู่ในน้ำมันดีเซลหรือน้ำมันเตา กรณีน้ำมันเตาแก้ไม่ยากหรอกเพราะส่วนใหญ่ก็ใช้ในโรงไฟฟ้า ในโรงงาน ใช้เครื่อง Desulfurization ดักไว้ มันก็จะไม่มีกำมะถันออกมาในอากาศ กำมะถันจึงมีราคาถูกมากแม้เป็นวัตถุจำเป็น เพราะเป็นของเหลือที่แยกออกมานี้แหละ
ปัญหาการบังคับลดกำมะถันในน้ำมันดีเซลมีอยู่มาก สมัยก่อนมีป่า รถก็ยังมีไม่มาก ป่าสามารถดูดซับกำมะถันได้สบาย แต่เมื่อเศรษฐกิจดี คนใช้รถมากขึ้นถึงจุดหนึ่งกรุงเทพฯ ก็เป็นเมืองที่ติด
อันดับต้นๆ ของเมืองที่อากาศสกปรกที่สุดในโลกเมื่อ 30 ปีก่อน จำได้ว่าเคยขึ้นถึงสกปรกที่ 6 ฝุ่นมากจนต้องขึ้นป้ายรณรงค์ให้เห็นความสำคัญกัน
ดร.ปิยสวัสดิ์พยายามลดสัดส่วนกำมะถันในน้ำมันดีเซลในเขตกรุงเทพฯ เพื่อให้อากาศในกรุงเทพฯ ดีขึ้น แต่ถ้าจะลดกำมะถันในน้ำมันก็ต้องขายน้ำมันในราคาแพงขึ้น ซึ่งราคาที่เพิ่มขึ้นก็คือค่าต้นทุนในการลดกำมะถันนั่นแหละ ทำได้แค่ในเขตเมือง แต่ยังมีคนวิ่งรถข้ามไปเติมนอกเขตเมืองในราคาของคนต่างจังหวัดที่ถูกกว่า ซึ่งก็ห้ามไม่ได้ ปี 2535 - 2536 ก็ลองอยู่พักหนึ่ง ต่อมาเมืองในต่างจังหวัดก็เริ่มขยายตัว และป่าก็หมดกำลังที่จะดูดซับกำมะถันไว้ทั้งหมดได้ เลยใช้วิธีลดกำมะถันทั้งประเทศแทน
…อย่างในลอนดอนยุคหนึ่ง สมัยที่ผมเรียนหนังสือเมื่อ 50-60 ปีที่แล้ว อากาศสกปรกมากจากกำมะถัน สกปรกขนาดที่มองมือตัวเองไม่เห็นในบางฤดู วิถีชีวิตของคนอังกฤษก็คือ ทุกคนจุดไฟเผาถ่านหินให้ความอบอุ่นในบ้าน ควันก็ลอยขึ้นไป ตอนคนไม่มากก็ไม่มีปัญหา แต่พอคนอยู่รวมกันมากขึ้น เผาถ่านหินกันทุกบ้าน ควันก็มากจนกระทบกับความเป็นอยู่ของคน เวลากำมะถันลอยไปสะสมกันบนท้องฟ้า มันก็ลอยตัวสูงบ้างต่ำบ้างรอวันที่จะตกลงมา บางทีสะสมนาน เวลาลงมามองอะไรไม่เห็นเลย และลงมาทีละมากๆ ส่งกลิ่นเหม็นแถมมีสภาพเป็นกรด บางทีกัดตึกแหว่งเป็นจุดๆ เลย
จำได้ว่า ช่วงที่ผมเรียนหนังสืออยู่ที่นั่นมีกำมะถันในอากาศมาก กัดตึก British Museum จนผมคิดว่าตึกเป็นสีดำ หน้าหนาวน้ำแข็งเกาะตรงขอบตึกเป็นสีขาวตัดกับสีดำของตึกสวยมาก พอต่อมาอังกฤษจัดการเรื่องกำมะถันในอากาศโดยห้ามใช้ถ่านหิน (Coal) เผาไฟในเตาผิงในบ้าน แต่ให้ใช้ถ่าน Coke ซึ่งเป็นถ่านหินที่กำจัดกำมะถันแล้วซึ่งก็มีต้นทุนการกำจัดทำนองเดียวกัน พอผมกลับไปหลังจากนั้นสัก 20 ปี ถึงได้รู้ว่าเป็นตึกสีน้ำตาล และเมื่อควบคุมดีก็ยังเป็นสีน้ำตาลอยู่จนทุกวันนี้
ดร.ปิยสวัสดิ์คงเคยเห็นผลของกำมะถันตั้งแต่อยู่อังกฤษมั้งเลยรีบปรับลดกำมะถันในน้ำมันดีเซลก่อนที่กรุงเทพฯ จะเจอปัญหานี้ความจำเป็นในการปรับปรุงคุณภาพก็ยังไม่มี เมืองไทยตอนนั้นยังเป็นป่าอยู่เลย รถรามีอยู่ไม่กี่คัน ต้นไม้ยังดูดซับได้หมด คนไทยตอนนั้นไม่ได้ตื่นตัวด้านสิ่งแวดล้อม เพราะไม่เคยเจอมลพิษหนักแบบอังกฤษแรงสนับสนุนจึงยังไม่มา
การทำอะไรที่มาก่อนเหตุการณ์จะสุกงอมนี่ยากนะครับที่จะทำให้ผู้ใหญ่เห็นด้วย เพราะมันเสียเงินมากเพื่อแลกกับคุณภาพซึ่งจับต้องไม่ได้ในทันที เป็นเรื่องของการลงทุนสำหรับอนาคต และการแก้เรื่องคุณภาพน้ำมันแบบนี้ไม่ได้เห็นผลตอนที่แก้ ต้องรอเวลา บางทีใช้เวลาเป็นสิบๆ ปี
คนที่เขาต้องต่อสู้มากด้วย คือ เจ้าของบริษัทน้ำมันที่มีอำนาจทางเศรษฐกิจคุมเรื่องน้ำมันในเมืองไทยแทบทั้งหมด เพราะสมัยนั้นยังไม่มี ปตท.ของรัฐที่ตั้งมาเพื่อบรรเทาการคุมตลาดของบริษัทต่างชาติ
การต่อสู้เพื่อให้ได้อากาศดีนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย เท่าที่ผมดู คนคนนั้นต้องมีความรู้ในเชิงเทคนิคที่ได้มาตรฐานสูง โดยเฉพาะเทคนิคการกลั่นน้ำมัน จะได้ว่ากันถูกเรื่อง แค่ความรู้ยังไม่พอ ใจต้องกล้าสู้กับบริษัทต่างชาติที่พวกมาก เงินเยอะ คนที่จะต่อสู้ในเรื่องนี้จึงต้องมีความสามารถพิเศษ ดร.ปิยสวัสดิ์ได้รับเกียรตินิยมอันดับ 1 ด้านคณิตศาสตร์จากมหาวิทยาลัย Oxford จึงมีต้นทุนพื้นฐานที่จะทำงานชิ้นนี้ ถ้ามีความคิดแล้ว มักสามารถคำนวณผลลัพธ์ได้สำเร็จด้วย…”
5. ปัจจุบัน ปัญหาอากาศที่เต็มไปด้วย PM2.5 น่าจะเรียกได้ว่า “เกินสุกงอม”
แต่ยังรอความมุ่งมั่นที่จะแก้ไขปัญหานี้อย่างจริงจัง เป็นระบบ และต่อเนื่อง
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี