4 รัฐมนตรี ที่ตกเป็นเป้าให้นักการเมืองรุมกระหน่ำ จี้ให้ลาออกรายวัน
ได้แก่ นายอุตตม สาวนายน รมว.อุตสาหกรรม หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ, นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รมว.พาณิชย์ เลขาธิการพรรค, นายสุวิทย์ เมษินทรีย์ รมว.วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี รองหัวหน้าพรรค และนายกอบศักดิ์ ภูตระกูล รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี โฆษกพรรค
1. อันที่จริง... ถ้ากลับไปสำรวจข่าวเรื่องนี้ รัฐมนตรีทั้ง 4 คน เจ้าตัวพูดเหมือนเดิมมาโดยตลอดว่า จะลาออกพร้อมกัน และจะลาออกเมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม โดยไม่อยู่ลากยาวไปจนถึงช่วงเลือกตั้งแน่นอน
เข้าใจว่า คงจะลาออกเมื่อมี พ.ร.ฎ.เลือกตั้งฯ
จนถึงวันนี้ 4 รัฐมนตรีก็ยังไม่มีการเปลี่ยนคำพูดเดิม
แต่นักการเมืองและพรรคการเมืองบางกลุ่ม ก็รุกเร้าจี้ให้ลาออกไม่เว้นแต่ละวัน
พยายามให้ข่าวประหนึ่งว่า รัฐมนตรี 4 คนนี้จะไม่ลาออกแล้ว
เดาว่า หากมี พ.ร.ฎ.เลือกตั้งออกมา ภายในสัปดาห์นี้ รัฐมนตรีทั้ง 4 ก็คงจะลาออกตามคำพูดเดิมนั่นเอง
เท่ากับว่า 4 รัฐมนตรีนี้ ที่ผ่านมา ก็ถูกรุมด่าฟรีๆ เพราะไม่เคยแสดงท่าทีว่าจะไม่ลาออกเลย แค่รอเวลา แต่ถูกนักการเมืองรุมชยันโต ทำราวกับจะไม่ลาออกเสียแล้ว
นี่แหละ การเมืองไทย
2. ใน 4 รัฐมนตรี ที่น่าจับตามากที่สุด คงไม่พ้น “นายอุตตม สาวนายน” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม
ที่ล่าสุด เป็นถึงหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ตำแหน่งใหญ่สุด ในบรรดา 4 รัฐมนตรีด้วยกัน
นอกจากนี้ รัฐมนตรีอุตตม น่าจะเป็นคนที่นายทักษิณโกรธแค้นมากที่สุดคนหนึ่ง โทษฐานพูดความจริง
เพราะคำให้การที่เป็นพยานหลักฐานสำคัญอันหนึ่ง ที่มัดว่าบิ๊กบอส-ซูเปอร์บอส แทรกแซงสั่งการสินเชื่อกรุงไทยโดยมิชอบ กระทั่งลากคอก๊วนทุจริตเงินกู้กรุงไทยเข้าคุกไปก่อนหน้านี้ และยังมีคดีทักษิณ ชินวัตร ตกเป็นจำเลย อยู่ในชั้นศาลฎีกาฯ แถมยังมีคดีฟอกเงิน ต่อยอดตามมา พันไปถึงลูกโอ๊คด้วย
3. รัฐมนตรีอุตตมนี่เอง ที่สั่งให้กรมโรงงานอุตสาหกรรม ดำเนินการแก้ พ.ร.บ.โรงงาน พ.ศ.2535 ยกเลิกอายุของใบอนุญาต ร.ง.4 จะช่วยให้ผู้ประกอบการโรงงานอุตสาหกรรมไม่ต้องยื่นเรื่องขอต่อใบอนุญาตประกอบกิจการทุก 5 ปี (ใบ ร.ง. 4) เพื่ออำนวยความสะดวก รวดเร็ว ลดความยุ่งยากแก่ผู้ประกอบการอุตสาหกรรม
ที่สำคัญ ลดช่องทุจริตโกงกิน
เรื่องนี้ องค์กรต่อต้านคอร์รัปชั่น (ประเทศไทย) ได้ทำหนังสือแสดงความชื่นชมและสนับสนุน เปิดเผย อย่างเป็นทางการ “ตามที่ท่านได้เปิดเผยต่อสาธารณชนว่า กระทรวงอุตสาหกรรมเตรียมปรับปรุงพระราชบัญญัติโรงงานอุตสาหกรรม พ.ศ. 2535 ให้ยกเลิกการยื่นขอต่ออายุใบอนุญาตประกอบกิจการโรงงาน (ร.ง.4) จากเดิมที่ต้องขอต่อทุก 5 ปี โดยให้ใช้มาตรการตรวจสอบและควบคุมอื่นที่เหมาะสมกับเทคโนโลยีปัจจุบันแทน องค์กรต่อต้านคอร์รัปชั่น (ประเทศไทย) ขอแสดงความชื่นชมและสนับสนุนวิสัยทัศน์ดังกล่าว เพราะที่ผ่านมาขั้นตอนการยื่นขอต่อใบอนุญาตที่มีเงื่อนไขยุ่งยาก ซับซ้อน มักเป็นช่องทางให้เกิดการเรียกรับสินบน และส่งผลกระทบในทางลบตามมาอีกมาก การลดขั้นตอนและปรับปรุงการให้บริการของรัฐให้โปร่งใสเช่นนี้ จึงเป็นการแก้ไขปัญหาคอร์รัปชั่นที่ต้นตอและเป็นแบบอย่างการปฏิรูประบบราชการอย่างแท้จริง สำหรับปัญหาการต่ออายุใบอนุญาตประกอบกิจการโรงงาน (ร.ง.4 ) เป็นหนึ่งในความต้องการของผู้ประกอบการภาคอุตสาหกรรมมาโดยตลอด ที่ต้องการให้ภาครัฐแก้ไข...”
4. เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ธนาคารโลกเปิดเผย “รายงานตามติดเศรษฐกิจไทย : ความเหลื่อมล้ำ โอกาส และทุนมนุษย์” วิเคราะห์ผลการดำเนินการและแนวโน้มเศรษฐกิจของประเทศ ไทยในปี 2562
ดร.เบอร์กิท ฮานสล์ ผู้จัดการธนาคารโลกประจำประเทศไทย กล่าวถึงเศรษฐกิจไทยในปี 2561 ระบุว่า นับว่าเติบโตได้ดีมาก และเป็นการเติบโตที่แข็งแรงหากเทียบกับประเทศเพื่อนบ้าน แต่สิ่งที่สำคัญที่สุด คือ พัฒนาการที่ดีขึ้นในโครงสร้างของการเติบโตที่การเติบมาจากอุปสงค์ภายในประเทศมากขึ้น ทั้งการบริโภคของเอกชน การลงทุนของเอกชน และการลงทุนภาครัฐ
“โครงสร้างแบบนี้เป็นภาพที่ดี หากเราดูสิ่งที่เกิดขึ้นในเศรษฐกิจโลกที่กำลังมีแรงต้านค่อนข้างแรงสำหรับ ประเทศเกิดใหม่ทั้งหมด เราเห็นการส่งออกของประเทศเหล่านี้ลดลง เพราะการค้าโลกที่ชะลอตัวลงและน่าจะกระทบกับการเติบโตของเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะในอีก 2 ปีข้างหน้า แต่พอมองมาที่ประเทศไทยก็เรียกว่าค่อนข้างประทับใจสำหรับไทย และไม่ใช่แค่ปี 2561 ที่ผ่านมาแต่จะเป็นในอีก 2 ปีข้างหน้าด้วย เพราะดูเหมือนเศรษฐกิจไทยที่ถูกสนับสนุนจากนโยบายภาครัฐสามารถเปลี่ยนโครง สร้างของการเติบโตได้ และทำให้ไทยสามารถรับมือการเปลี่ยนแปลงและแรงต้านของเศรษฐกิจโลกที่จะมาในอีก 2 ปีข้างหน้าได้ดีหากเทียบกับประเทศอื่นๆ”
ดร.เบอร์กิทกล่าวด้วยว่า ความต่อเนื่องและการดำเนินนโยบายในเชิงปฏิบัติเป็นสิ่งสำคัญ แม้ว่าช่วงที่ผ่านมา ประเทศไทยดำเนินนโยบายพื้นฐานหลายประการที่ส่งเสริมการ เติบโตของเศรษฐกิจในระยะต่อไป แต่หลายประการเพิ่งผ่านบังคับใช้เป็นกฎหมาย และคำถามในขั้นต่อไปคือว่าไทยจะสามารถดำเนินการได้เร็วและมีประสิทธิภาพเพียงใด
ดร.เกียรติพงศ์ อริยปรัชญา นักเศรษฐศาสตร์อาวุโส ธนาคารโลกประจำประเทศไทย ระบุว่า แนวโน้มเศรษฐกิจโลกยังคงไม่สดใส ท่ามกลางความตึงเครียดทางการค้า การค้าระหว่างประเทศ และการลงทุนมีการปรับตัวลดลง อย่างไรก็ตาม ถึงแม้จะมีผลกระทบจากปัจจัยภายนอกที่ส่งผลต่อการค้าและการท่องเที่ยว ธนาคารโลกยังคาดว่าเศรษฐกิจไทยจะเติบโตเพิ่มขึ้นร้อยละ 4.1 ในปี 2561 โดยเศรษฐกิจไทยสามารถยืนหยัดได้แม้ว่าจะต้องฝ่าแรงปะทะจากเศรษฐกิจโลก เนื่องจากสภาพแวดล้อมในประเทศเข้มแข็งขึ้นจากการบริโภคและการลงทุนภาคเอกชน เพิ่มขึ้น การบริโภคภายในประเทศเพิ่มขึ้นร้อยละ 5 ในช่วงไตรมาสที่สามของปี 2561 นับว่าเป็นอัตราการเติบโตสูงที่สุดในรอบ 22 ไตรมาส
สำหรับเศรษฐกิจไทยในระยะถัดไปคาดว่าจะปรับตัวลดลงเล็กน้อยในปี 2562 ตามแนวโน้มเศรษฐกิจโลก การเติบโตทางเศรษฐกิจจะต้องพึ่งพาการบริโภคจากภายในประเทศ เนื่องจากการส่งออกได้รับผลกระทบจากอุปสงค์ของตลาดโลกลดลง และจากปัจจัยแวดล้อมนี้ การลงทุนในโครงการโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐและการปฏิรูปเศรษฐกิจตามที่วางแผนไว้อย่างต่อเนื่องจะช่วยกระตุ้นการบริโภคภายในประเทศในปีหน้าและช่วยส่งเสริมการเติบโตเศรษฐกิจในระยะกลาง
แนวโน้มนโยบายการเงินและการคลัง ยังยืดหยุ่น และรักษาเศรษฐกิจมหภาคให้มั่นคงอยู่ได้ อัตราหนี้สาธารณะของไทยยังคงอยู่ในระดับต่ำกว่าร้อยละ 42 ของจีดีพี เงินบาทมีความผันผวนน้อยลงในช่วงที่เกิดวิกฤติสกุลเงินตุรกีเมื่อเทียบกับอินโดนีเซียและฟิลิปปินส์ เนื่องจากประเทศไทยมีการเกินดุลบัญชีเดินสะพัดที่เข้มแข็ง (ร้อยละ 8.1 ของจีดีพี) และทุนสำรองระหว่างประเทศที่สูงที่สุดในกลุ่มประเทศอาเซียน (ร้อยละ 74 ของจีดีพี)
“หากให้สรุปเศรษฐกิจไทยในประโยคเดียว คือ ยืดหยุ่นและพร้อมจะรองรับแรงกระแทกจากเศรษฐกิจภายนอก โดยมีเศรษฐกิจภายในที่ยังเติบโตได้ดีอยู่ สอดคล้องกับโครงสร้างเศรษฐกิจไทยที่เปลี่ยนไป ต่างจากช่วงปี 2555 ที่ยังเห็นสัดส่วนของภาคส่งออกที่สูง แต่ปัจจุบันได้ทยอยลดลงแล้ว เรื่องการจัดซื้อจัดจ้างของภาครัฐที่เริ่มเดินหน้า และที่สำคัญคือเสถียรภาพของไทยที่ถือว่าแข็งแกร่งอยู่ในระดับเอบวก ไม่ว่าจะเป็นเงินเฟ้อที่ต่ำ เงินสำรองระหว่างประเทศที่สูง อย่างไรก็ตาม ความเสี่ยงในครั้งนี้เรียกว่าเปลี่ยนแปลงไปค่อนข้างมาก โดยโน้มเอียงไปด้านต่ำมากขึ้นจากทั้งปัจจัยด้านเศรษฐกิจต่างประเทศ ขณะที่ภายในประเทศต้องเฝ้าติดตามความต่อเนื่องของนโยบายเศรษฐกิจต่างๆ รวมไปถึงการลงทุนของเอกชนที่อาจจะชะลอเฝ้าดูผลการเลือกตั้งที่ยังไม่มีความแน่นอนอยู่” ดร.เกียรติพงศ์ นักเศรษฐศาสตร์อาวุโส ธนาคารโลกประจำประเทศไทย กล่าว
5. ธนาคารโลกชี้ให้เห็นว่าปัจจัยพื้นฐานเศรษฐกิจไทยยังอุ่นใจได้บ้าง แม้รายได้ของเกษตรกรบางกลุ่มจะยังมีปัญหารุนแรง จากราคาพืชผลการเกษตรตกต่ำอย่างมาก เช่น ปาล์มน้ำมัน ยางพารา มะพร้าว ฯลฯ
แน่นอนว่า นโยบายหลักอย่างหนึ่งของทีมเศรษฐกิจยุคนี้ ก็คือเรื่อง EEC ซึ่งเป็นตัวหลักที่ทำให้ยอดการลงทุนของเอกชนที่ยื่นขอรับการส่งเสริมการลงทุนในไทย ปี 2561 พุ่งทะลุ 9 แสนล้านบาทขึ้นไป
นั่นคือผลลัพธ์เบื้องต้นจากการทำงานที่ต่อเนื่อง คีย์แมนคนหนึ่ง ก็คือ รัฐมนตรีอุตตม คนนี้เอง
การเลือกตั้งครั้งนี้ มีนักการเมืองหลายคน บางพรรค ประกาศจะเลิกทุกอย่างที่รัฐบาล คสช.ทำไว้
ทั้งกฎหมาย ทั้งการเดินหน้าโครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน รวมถึงการส่งเสริมการลงทุนทั้งหลายด้วย
แน่นอน ถ้าใครบ้าและโง่ทำเช่นนั้นจริง ประเทศไทยคงไม่ต่างจากรัฐล้มเหลวในสายตานักลงทุนต่างชาติ เศรษฐกิจและการลงทุนคงพินาศย่อยยับ
แต่ลองคิดตรงกันข้าม ถ้าโครงการทั้งหลายได้เดินหน้าต่อ อะไรที่บกพร่อง หรือมีช่องโหว่ก็แก้ไข แต่ไม่ใช่ติเรือทั้งโกลน หรือหวังพลิกคว่ำกระดาน โฉมหน้าเศรษฐกิจการลงทุนในไทยจะเป็นอย่างไร หากเงินลงทุนเอกชนเกือบล้านๆ เทลงไปสู่การผลิตจริงๆ
หลังการเลือกตั้ง จับตาบทบาท “ดร.อุตตม สาวนายน” หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (รัฐมนตรีอุตสาหกรรม) จะได้ทำงานต่อหรือไม่ ? ในสถานะใด?
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี