ในระยะหลังๆ คนไทยเราเริ่มไปท่องเที่ยวชมพูทวีปกันมากขึ้นเป็นลำดับ โดยเฉพาะประเทศอินเดียที่กลายเป็นเป้าหมายสำคัญอันเนื่องมาจากประเด็นของสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ทางพุทธศาสนา โดยอาจจะเรียกได้ว่าเป็นการเดินทางเพื่อไปจาริกแสวงบุญ แถมได้ท่องเที่ยวอีกด้วย
นอกจากสถานที่สำคัญทางพุทธศาสนาแล้ว อินเดียนั้นยังมีโบราณสถานและวัดวาอารามของศาสนาฮินดู โดยจะมีศาสนาซิกข์เข้ามาสอดแทรกอยู่บ้าง โดยเฉพาะบริเวณเทือกเขาหิมาลัย ที่มีความงดงามทางธรรมชาติอันเป็นเอกลักษณ์
นี่คือความโดดเด่นของอินเดีย ซึ่งสามารถรักษาความเป็นพหุวัฒนธรรม ความหลากหลาย และการอยู่ร่วมกันท่ามกลางความต่าง แต่ก็เรียกว่าการเดินทางไปอินเดียส่วนใหญ่ของคนไทย จะเป็นเรื่องของการไปทำบุญทำทาน ชำระล้างจิตใจให้ผ่องใส โดยหลายๆ คนเมื่อได้ไปสัมผัสแล้ว ก็คงได้ปลง ได้คิด ได้เกิดความเมตตาปรานีต่อเพื่อนมนุษย์กันมากขึ้น เพราะได้เห็นความขาดแคลน รวมทั้งความยากจนของคนอินเดียอันหลากหลายที่นั่น เมื่อนำมาเปรียบเทียบกับประเทศไทย ก็คงจะช่วยลดความเหนื่อยหน่ายสังคมไทยเราไปได้มาก เพราะของเรานั้นถือว่ามีปัญหาน้อยกว่าอินเดียมากๆ ซึ่งเมื่อไม่เสียเวลาไปกับการบ่นสังคมไทย เราก็จะมีเวลาหันหน้าเข้าหากันเพื่อร่วมกันแก้ไขประเด็นปัญหา และนำพาบ้านเมืองให้ก้าวหน้าไปยิ่งขึ้น
จากการที่ผมเคยมีสถานะเป็นนักเรียนประจำชั้นประถม มัธยมอยู่ที่อินเดียในวัยเยาว์ ก็รู้สึกผูกพันกับอินเดียเป็นธรรมดา โดยล่าสุดก็ได้มีโอกาสกลับไปเยี่ยมเยือนประเทศแห่งนี้อีกครั้ง โดยการไปครั้งนี้ เป็นการไปที่รัฐราชสถาน ซึ่งตั้งอยู่ทางภาคตะวันตกสุดของอินเดียติดกับประเทศปากีสถาน เป็นดินแดนที่เต็มไปด้วยป้อมปราการ (Forts) บนยอดเขามากมายหลายแห่งได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกขององค์การสหประชาชาติยูเนสโก ภาคตะวันตกของอินเดีย เป็นชุมทางผ่านของทัพชาติพันธุ์ต่างๆ ในอดีตที่ลงมาจากภูเขา เช่น ชาวเปอร์เซียเติร์ก มองโกล รวมทั้งเผ่าพันธุ์ชาวเขาต่างๆ อีกมากมายโดยทางประวัติศาสตร์ได้ถือว่าที่นี่เป็นจุดข้องแวะแรกๆ ระหว่างศาสนาฮินดูกับอิสลาม
และในการเดินทางไปยังภูมิภาคนี้ครั้งแรก ผมเองมีความประทับใจอย่างมาก กับโบราณสถาน ธรรมชาติอันได้แก่ ทะเลทราย ทะเลสาบ รวมถึงวิถีชีวิตผู้คน อาหารการกิน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นอาหารมังสวิรัติ
ที่สำคัญยิ่งก็คือ ในทริปนี้ที่ถือว่าเป็นบุญกุศลอย่างยิ่ง ก็คือการได้ไปสักการบูชาศาสนสถานที่สำคัญ 2 แห่ง ของ 2 ศาสนา
แห่งแรกคือ ที่ฝังศพของนักบุญซาลิม ชิสตี้ (Saint Salim Chishti) ในเมืองอัจเมอร์ (Ajmer) ซึ่งถือว่าเป็นสถานที่อันศักดิ์สิทธิ์ของฝ่ายซูฟิ (Sufi)ในนิกายชีอะห์ของศาสนาอิสลาม โดยรัฐบาลอินเดียได้เห็นถึงความสำคัญ และออกกฎหมายเพื่อการดูแลสถานที่อันศักดิ์สิทธิ์นี้ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1955 (พ.ศ. 2498) ผู้คนจากทุกสารทิศต่างเดินทางมาเพื่อสักการบูชา และขอพร อันสืบเนื่องมาจากการที่ จักรพรรดิโมกุล อัคบาร์ (Akbar) และมเหสีทรงมาขอพรเพื่อให้ได้บุตรชาย ซึ่งเมื่อสมหวัง ก็ได้ปวารณาตัวเดินทางด้วยเท้าเป็นร้อยกิโล มาจาริกแสวงบุญทุกปี ส่งผลให้ผู้คนก็แห่ตามไปจนทุกวันนี้ ที่สำคัญคือ สถานที่นี้ไม่ได้จำกัดเพศ สีผิว ศาสนาใดๆ แก่ผู้เข้าสักการบูชา โดยวันวันหนึ่งมีผู้คนไปขอพรถึง 150,000 คน โดยเฉลี่ย
ศาสนสถานอีกแห่งหนึ่งก็คือ วัดศาสนาเชน(Jain Dharma) ในป้อมปราการไจซาลเมอร์ (JaisalmerFort) ที่เมืองไจซาลเมอร์ ซึ่งนี่เป็นครั้งแรกในชีวิตของผมที่ได้เข้าไปสักการบูชาในศาสนสถานของศาสนาเชน
ศาสนาเชนนั้นมีความเชื่อที่คล้ายคลึงกับศาสนาพุทธ ในแง่ที่ว่าไม่รับ ไม่เชื่อถือเรื่องพระเจ้า (God) โดยผู้นับถือศาสนาเชนจะเคร่งในเรื่องการละเว้นการบริโภคเนื้อสัตว์ใดๆ ทั้งสิ้น แม้กระทั่งการละเว้นการบริโภคพืชผักที่อยู่ใต้ดิน หรือติดดิน เช่น หัวมัน เพราะเกรงว่า จะไปทำร้ายสัตว์มีชีวิตต่างๆ ที่ไม่ทันเห็น ถือว่าเป็นศาสนาซึ่งเคารพสิ่งมีชีวิตต่างๆ อย่างเคร่งครัด
โดยทั่วไป ศาสนสถานของศาสนาเชนนั้นมีแบบแผนคล้ายวัดของศาสนาพุทธ คือ มีรูปปั้นคล้ายพระพุทธรูปประดิษฐานอยู่ หากแต่พระพักตร์นั้นมีการตกแต่ง ระเบียงรอบก็ถูกล้อมไปด้วยรูปปั้นต่างๆ การเคารพบูชาก็ทำด้วยการยกถาดที่มีเทียนขึ้นไหว้ และมีเตาที่มีควัน (คล้ายเตาอั้งโล่) เพื่อการปัดควันเข้าหาตัวเป็นการไล่สิ่งชั่วร้ายออกไป การทำบุญก็ด้วยการใส่เงินภายในถาดเทียน แล้วก็มีระฆังใบเล็กๆ แขวนไว้ 2 ใบ เพื่อสั่นได้ระฆังละ 1 ครั้ง
การขอพร การภาวนาใดๆ ของศาสนาใดๆ นั้นจัดได้ว่าเป็นการตั้งสติเตือนใจตนเองว่า ไม่ใช่เพียงชั่วครั้งชั่วคราวเฉพาะช่วงที่อยู่ในวัดวาอารามเท่านั้น หากแต่ต้องประพฤติดีทุกขณะตลอดไปในทุกสถานที่และสถานการณ์ ซึ่งคนพุทธเรามักจะลืมเลือนข้อนี้กันไป กล่าวคือมีการทำบุญทำทานในวัดแล้วก็แล้วกันออกจากวัดมาแล้วก็กลับไปสู่ความวุ่นวายดังเดิม มิได้มีจิตผ่องใสเฉกเช่นตอนอยู่ในวัด
ที่เอาเรื่องอินเดียมาเล่าคราวนี้ นอกจากจะอยากเชิญชวนให้คนไทยที่สามารถไปเที่ยวอินเดียแล้ว ยังอยากให้ลองเข้าไปเยี่ยมชมศาสนสถานของศาสนาต่างๆ ที่ไม่คุ้นเคยดูบ้าง ซึ่งจะทำให้เราได้เปิดกว้างเห็นมุมมองแนวคิดอื่นๆ ที่น่าสนใจ กลายเป็นประสบการณ์ที่สามารถนำมาประยุกต์ใช้ได้ในชีวิตประจำวัน
การไปอินเดียวคราวนี้ ได้ตอกย้ำความเชื่อที่ว่า ศาสนสถานใดๆ ล้วนเป็นที่ศักดิ์สิทธิ์ และบ่งบอกการเปิดกว้างต่อมนุษย์ทุกชนชั้น ไม่มีการกีดกัน การแบ่งแยก ซึ่งหากมนุษย์ที่ต่างความเชื่อต่างวิถีชีวิต ได้ลองไปสัมผัสกับพหุสังคมของอินเดีย แล้วสามารถนำไปเผยแพร่และปฏิบัติกันต่อได้ในสังคมของตน โลกมนุษย์ก็จะสามารถได้อยู่กันอย่าง “ไร้พรมแดน” ไม่แบ่งแยกกัน ซึ่งนำมาแต่สันติสุข ที่มนุษยชาติต่างไขว่คว้ามาโดยตลอด
กษิต ภิรมย์
kasitfb@gmail.com
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี