ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ โพสต์ทวิตเตอร์ในวันที่เขาไปร่วมงานฟุตบอลประเพณีจุฬาฯ-ธรรมศาสตร์ ว่า
“วันนี้มา #tucuball73 มีแต่คนทักผมว่า #ฟ้ารักพ่อ ไม่ค่อยเก็ทเท่าไหร่ แต่ก็ขอบคุณทุกกำลังใจ อย่าลืมไปเลือก #อนาคตใหม่ กันนะคับ”
ต่อมา ทวิตเตอร์ @suchabigfan มีการชี้แจงถึงที่มาของคำดังกล่าวว่า ที่มาของคำนี้มาจากละครเรื่องดอกส้มสีทอง เป็นฉากที่นางเอกของเรื่องคือ ฟ้า แสดงโดยชมพู่ อารยา เรียกแฟนที่อายุมากกว่าในเรื่องว่า พ่อ ดังนั้น #ฟ้ารักพ่อ จึงเป็นประโยคบอกรักแฟน (หล่อ) นั่นเอง
ตอนนี้แฮชแท็ก #ฟ้ารักพ่อ กลายเป็นแฮชแท็กยอดฮิตในหมู่คนรักธนาธร
ธนาธร ก็เหมือนนักการเมืองอีกหลายๆ คน ไม่ว่าเก่าหรือใหม่ ที่มีทั้งคนหนุนและคนต้าน ฝ่ายหนุนก็จะชอบใน “ความสุดกู่” ของเขา ที่กล้าชน ค้าน แย้ง ที่ฟังแล้ว “ซี้ดดดดด” แต่คงลืมไปว่าในความซี้ด ต้องคำนึงถึง “ความเป็นไปได้” และผลลัพธ์ของมันด้วย เราจึงจะเห็นว่า ปรากฏการณ์ “ฮิตธนาธร” จะไปอยู่ในคนรุ่นใหม่ และคน “เบื่อการเมืองเก่า” เสียเป็นส่วนมาก
ธนาธรไม่ได้มีแค่ฝ่ายเชียร์ ฝ่ายตรวจสอบอย่างกังวลระแวงก็มี ซึ่งการตรวจสอบมีทั้งชัดเจนและคลุมเครือ มีเหตุผลและไม่มีเหตุผล
ผมชอบการตรวจสอบของผู้ในนามในเฟซบุ๊คว่า Tarn Thomas ซึ่งโพสต์ข้อความเมื่อเร็วๆ นี้ว่า
“...ทำความรู้จัก แล้วจะรักไม่ลง อย่าตัดสินใจเลือกแค่เปลือกนอก หรือ profile ที่สร้างขึ้นมาให้ดูดี ถ้ายังไม่รู้จักสองคนนี้ จงลองอ่านดู ข้างนอกสุกใส ข้างในเป็นโพรง...”
โดยเขาผู้นี้วิเคราะห์ว่า...
“...พรรคอนาคตใหม่นั้น เป็นมวลชนเสื้อแดงในเฉดที่เอียงไปทางไม่เอารัฐประหาร และบางคนที่มีทัศนคติเชิงลบต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ ถามว่านี่เป็นข้อหาที่ป้ายสีทางการเมืองหรือไม่คำตอบก็คือ ต้องย้อนไปดูว่า ผู้นำพรรคนี้มีจุดยืนต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ในอดีตไว้อย่างไร อนาคตใหม่นั้นยังมองไม่เห็นแต่อดีตนั้นลบไม่ได้
มีคนบอกว่า พรรคอนาคตใหม่ก็คือ Niche Market ของฝั่งระบอบทักษิณที่อำพรางตัวมาจับตลาดคนรุ่นใหม่และคนเมืองที่พรรคเพื่อไทยเข้าไม่ถึง
คำสัมภาษณ์เก่าของธนาธรที่ถูกโจมตี ล้วนแล้วแต่พิสูจน์ได้ว่า เป็นคำพูดในอดีตของธนาธรจริงๆ ไม่ว่าจะเรื่องสามจังหวัดภาคใต้ เรื่องความคิดให้รัฐไทยเลิกอุปถัมภ์พุทธศาสนา เรื่อง
มุมมองต่อแนวคิดเศรษฐกิจพอเพียง
มีเพียงอันเดียวเท่านั้นที่ธนาธรหยิบมาโพสต์ในเฟซบุ๊คส่วนตัวว่า เป็นการทำลายกันโดยการสร้างความเท็จเป็นการเมืองแบบเก่า ที่มีการทำอินโฟกราฟิกเป็นรูปธนาธรและโลโก้ของพรรค พร้อมกับมีข้อความว่า “งานแรกของพรรคหลังได้รับการเลือกตั้งคือ แก้มาตรา 112 คืนเสรีภาพให้คนไทย”
แต่ปรากฏว่า ฝ่ายที่ทำภาพนั้นคือ เพจองค์กรเสรีไทยซึ่งเป็นเพจของคนเสื้อแดงด้วยกัน ซึ่งเมื่อดูจุดยืนของเพจที่ทำน่าจะมีความคิดว่า จะหาแคมเปญมาสนับสนุนพรรคนี้มากกว่า แต่ถ้าต้องการทำลายล้างธนาธรจริงก็ต้องแปลว่าคนเสื้อแดงกลัวพรรคอนาคตใหม่จะมาแย่งคะแนนพรรคเพื่อไทยอะไรทำนองนั้น
ส่วนเมื่อมีอินโฟกราฟิกคำสัมภาษณ์ของธนาธรข้อความว่า “รัฐไทยไม่ควรจะอุปถัมภ์ศาสนาพุทธ เพราะมันทำให้ปัญหาใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ แก้กันไม่จบ ผู้คนที่อยู่ใน 3 จังหวัด
แง่หนึ่งก็เหมือนเป็นพลเมืองชั้นสอง เพราะไม่มีที่ยืนที่เท่าเทียมกันกับคนที่นับถือศาสนาพุทธ ผมคิดว่ารัฐควรจะถอยตัวเองออกมาจากเรื่องศาสนา ไม่ควรจะอุปถัมภ์ศาสนาอะไรเลย”
ข้อความนี้ถูกจัดทำโดยเพจประชาไทซึ่งชัดเจนว่ามีจุดยืนสนับสนุนธนาธรเช่นเดียวกัน แต่กลายเป็นว่า มีเสียงวิจารณ์จากเกือบทุกฝ่ายว่า ธนาธรไม่เข้าใจปัญหาของ 3 จังหวัดใต้ และเรื่องศาสนาที่แท้จริง แล้วแนวคิดสุดกู่นี้จะเป็นนโยบายของพรรคอนาคตใหม่ไหม
ธนาธร ได้โพสต์เฟซบุ๊คแก้ข้อกล่าวหานี้ว่า ความเห็นของผมเรื่องศาสนาที่ได้รับการพูดถึงอยู่ตอนนี้ ผมขอชี้แจงว่าสิ่งที่ผมแสดงความคิดเห็นไว้ถูกตัดออกมาจากบริบทของมัน การแสดงความคิดเห็นของผมในเรื่องนี้ กระทำไว้นานแล้ว และก่อนการเกิดขึ้นของพรรคเสียอีก ดังนั้น มันจึงเป็นการแสดงความคิดเห็นในฐานะส่วนตัว ไม่ใช่เพิ่งแสดงความคิดเห็นเร็วๆ นี้ ซึ่งอาจทำให้เข้าใจว่าเป็นนโยบายพรรคได้
“โดยส่วนตัวผมเห็นว่า สังคมไทยควรเป็นสังคมที่ไม่นำเรื่องศาสนาซึ่งเป็นสิทธิและความเชื่อส่วนบุคคล มาสร้างความเกลียดชังซึ่งกันและกัน ผมเข้าใจความคับข้องใจของทั้งชาวพุทธและชาวมุสลิมที่ต่างตกเป็นเหยื่อของความขัดแยัง ดังนั้น จุดเริ่มต้นที่ดีที่สุดในกรณีปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ คือ กระบวนการพูดคุยสันติภาพที่มีความเป็นธรรม มีประสิทธิภาพ และมีส่วนร่วมจากภาคประชาสังคมทุกภาคส่วน เพื่อยุติความขัดแย้งโดยไม่ใช้ความรุนแรง”ธนาธร โพสต์
คำถามว่าคำพูดของธนาธรถูกตัดต่อและพูดไว้นานแล้วแบบที่อ้างจริงหรือ คำตอบคือ ไม่เลยครับ ธนาธรเพิ่งพูดเมื่อเดือนพฤษภาคม 2560 นี่เอง เพิ่งผ่านมาไม่กี่เดือน แล้วถูกตัดตอน
จริงไหม คัดทั้งคำถามของจีเอ็มและคำตอบนั้นมาให้อ่านกัน
GM : เราพูดถึงเรื่องหนังสือเยาวชนที่สังคมไทยมุ่งสอนเรื่องคุณธรรมมากกว่าจินตนาการ แล้วส่วนตัวคุณเชื่อในศาสนาไหม
ธนาธร : ผมคิดว่าทุกคนมีพระเจ้าของตัวเอง แล้วคุณก็คุยกับพระเจ้าของคุณเองได้โดยไม่ต้องผ่านวัด โบสถ์ หรือมัสยิด คุณคุยกับพระเจ้าของตัวคุณได้ แม้กระทั่งระหว่างการวิ่ง คุณก็คุยกับพระเจ้าได้ คุณไม่ต้องไปตักบาตร ไปมิสซา หรือละหมาดเพื่อจะคุยกับพระเจ้า สิ่งที่ผมเชื่อก็คือศรัทธาทางศาสนาควรจะเป็นศรัทธาที่เปิดกว้าง และไม่ควรมีวัดหรือศาสนา หรือองค์กรใดมาบังคับหรือเชิดชูความเชื่อใดความเชื่อหนึ่งให้มากกว่าความเชื่ออื่นๆ เช่น รัฐไทยไม่ควรจะอุปถัมภ์ศาสนาพุทธ เพราะมันทำให้ปัญหาใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้แก้กันไม่จบ ผู้คนที่อยู่ใน 3 จังหวัด แง่หนึ่งก็เหมือนเป็นพลเมืองชั้นสอง เพราะไม่มีที่ยืนที่เท่าเทียมกันกับคนที่นับถือศาสนาพุทธ ผมคิดว่ารัฐควรจะถอยตัวเองออกมาจากเรื่องศาสนา ไม่ควรจะอุปถัมภ์ศาสนาอะไรเลย ที่นี่คุณจะนับถือยูดาย คุณจะนับถือเต๋า นับถือเซนก็ได้ เหมือนอย่างธรรมกาย ต่อให้ไม่เห็นด้วยกับธรรมกาย รัฐก็ไม่ควรไปยุ่ง ปัญหาคือถ้ารัฐไปยุ่ง มันก็จะซับซ้อนวุ่นวายไปหมด
นี่คือคำถามและคำตอบเต็มๆ จะเห็นว่าคำถามไม่ได้มุ่งไปที่คำตอบนั้น แต่ธนาธรก็ตั้งใจพาไปเพื่อถ่ายทอดจุดยืนของตัวเองเรื่องศาสนา
นอกจากนั้นความเห็นของธนาธรเรื่องเศรษฐกิจพอเพียงของถูกนำมาส่งต่อกันอย่างแพร่หลายในโซเชียลมีเดียว่า “เศรษฐกิจพอเพียงก็เป็นวาทกรรมแบบหนึ่งเท่านั้นเอง”
ปรากฏว่า ข้อความนี้มาจากการสัมภาษณ์นิตยสารสารคดีตั้งแต่ปี 2550 ลองไปอ่านคำพูดเต็มๆ กันดู
สารคดี : ถ้านิยามว่าเศรษฐกิจพอเพียงคือการพึ่งตนเองได้ และสร้างภูมิคุ้มกันในธุรกิจของตัวเอง ไม่ได้หมายความว่าไม่ให้เพิ่มการลงทุน
ธนาธร : ผมคิดว่ามีนักวิชาการคนหนึ่ง คือคุณศิโรตม์ คล้ามไพบูลย์ พูดไว้ชัด คือทฤษฎีเศรษฐกิจพอเพียง หรือแม้แต่กระแสชุมชนนิยม มันมีรากฐานอย่างหนึ่งคือ ข้างในมันดี และข้างนอกมันเลว อะไรก็ตามที่มันเลวมันมาจากข้างนอกหมด เราอยู่ข้างในเราก็ดีกันอยู่แล้ว โดยที่เราลืมไปอย่างหนึ่งว่า มันเป็นเพียงมายาคติที่ถูกสร้างขึ้นมา เวลาเราพูดถึงเศรษฐกิจพอเพียง พูดถึงชุมชนนิยม หรือแม้แต่ในประเทศไทย เราบอกว่าเราไม่เปิดเสรีเพราะเรารู้สึกว่าอะไรก็ตามที่มาจากข้างนอกมันสร้างกิเลส มันสร้างความโลภมันเอาอะไรต่างๆ ที่ไม่ดีในเชิงจริยธรรมในเชิงศีลธรรมเข้ามา แล้วเราก็พยายามปลูกฝังความคิดแบบชาตินิยมขึ้นมา แท้จริงแล้วการชูเรื่องชาตินิยมก็เพียงเพราะคุณต้องการปกป้องทุนชาติเพราะคุณรู้สึกว่าถ้าปล่อยให้ต่างชาติเข้ามาคุณเสียประโยชน์ เพราะคุณแข่งขันสู้บริษัทยักษ์ใหญ่พวกนี้ไม่ได้ ถามว่าเศรษฐกิจพอเพียง คุณปิดประเทศหรือเปล่า ถ้าคุณไม่ปิดประเทศ บริษัทยักษ์ใหญ่พวกนี้เข้ามา ผมถามว่าคุณแข่งขันสู้เขาได้หรือเปล่า ดูธุรกิจใหญ่ๆ ของไทยวันนี้เหลือธุรกิจอะไรบ้างที่ยังเป็นของคนไทย ที่ยังเป็นของทุนชาติอยู่ ผมรู้สึกว่าเหลือไม่เยอะ เครื่องใช้ไฟฟ้าไม่ต้องพูดถึงรถยนต์ไม่มีแล้วที่เป็นของคนไทย ธนาคารแต่ละแห่งไม่มากก็น้อยมีผู้ถือหุ้นเป็นต่างชาติ แม้แต่ธุรกิจโทรศัพท์มือถือทุกวันนี้ผู้เล่นก็เป็นต่างชาติทั้งหมด ผมกำลังบอกว่ากระแสพวกนี้มันมีส่วนหนึ่งเกิดจากความคิดแบบทุนชาติที่พยายามปลุกกระแสชุมชนนิยม กระแสอนุรักษ์ท้องถิ่นขึ้นมา เพื่อที่จะใช้กระแสนี้ปกป้องธุรกิจของตัวเอง เพราะฉะนั้นในแง่นี้ชาตินิยมจึงเป็นเครื่องมือของนายทุนระดับหนึ่ง ถ้าถามผมเป็นนายทุนผมชอบไหม ชาตินิยม ชูเลยใช้ของไทย คุณผลิตรถยนต์คุณต้องซื้อของจากบริษัทคนไทย ผมแฮปปี้ แต่ถามว่าท้ายที่สุดใครล่ะ ได้กำไร ทุนชาติและทุนต่างชาติก็ได้กำไรเหมือนกัน การสะสมทุนก็กระจุกตัวอยู่แค่กลุ่มคนระดับสูงบางกลุ่มเหมือนกัน ถามว่าแล้วทุนชาติกับทุนต่างชาติต่างกันอย่างไร ไม่ต่างกัน เพียงแต่เรามีมายาคติ ท้ายที่สุดเศรษฐกิจพอเพียงก็เป็นวาทกรรมแบบหนึ่งเท่านั้นเอง
ทั้งหมดนี้ล้วนแล้วแต่เป็นคำพูดของธนาธรทั้งสิ้น...”
โพสต์นี้ของ Tarn Thomas ย่อมจะมีทั้งคนเห็นด้วยและไม่เห็นด้วย ว่าไปดึงเอาเรื่องบางเรื่องที่ละเอียดอ่อนมาแซะเขาทำไม
แต่สิ่งที่เลี่ยงไม่ได้เลยที่เหนือจากความชอบหรือไม่ชอบ แซะหรือไม่แซะก็คือ นี่คือ “ทัศนคติ” จริงๆ ของคนคนหนึ่ง ที่ทำให้เราได้รู้ว่า กับเรื่องบางเรื่อง เขาคิดอย่างไร!!
และเป็นเรื่องของ “เนื้อใน” ที่มากกว่า #ฟ้ารักพ่อ
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี