ผมเคยไปเยือนประเทศอดีตสหภาพโซเวียตเพื่องานราชการหลายครั้ง และยังเคยได้ใช้ชีวิตอยู่ที่นั่นในฐานะข้าราชการนักการทูตประจำสถานเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงมอสโก เมืองหลวงของสหภาพโซเวียตอีกด้วย จึงน่าจะถือได้ว่า เป็นการได้สัมผัสกับสังคมเผด็จการเต็มรูปแบบ (Totalitarian) ที่พรรคการเมืองพรรคเดียวคุมทุกสิ่งทุกอย่าง ทั้งอำนาจรัฐ ผู้คน ทรัพย์สิน และทรัพยากรธรรมชาติ ประชาชนพลเมืองอยู่ภายใต้คำสั่ง ไร้ซึ่งสิทธิเสรีภาพใดๆ ระบบการสอดส่องดูแล ควบคุม สอดแนม ด้วยหน่วยราชการลับและเครือข่ายมีความเข้มข้น ถึงขั้นที่แม้แต่บุคคลในครอบครัวก็ยังต้องอยู่กันด้วยความหวาดระแวงกันเอง มีชีวิตอยู่กับความกลัวและไม่ไว้ใจกัน ด้วยเกรงว่าจะถูกการรายงานความประพฤติ และการเคลื่อนไหวของกันและกันให้กับทางการ จัดได้ว่าทุกคนตกอยู่ในสายตาของพรรคและรัฐอยู่ตลอดเวลา เพื่อมิให้มีการเคลื่อนไหว รวมตัวชุมนุมคัดค้าน มีความเห็นต่าง หรือมีความกระด้างกระเดื่องใดๆ ทั้งสิ้น
แม้ประชาชนประสงค์จะเดินทางออกนอกเมือง ก็ยังต้องมีการยื่นขออนุมัติ และทุกคนต้องมีเอกสารประจำตัวเรียกว่า พาสปอร์ต หรือหนังสือเดินทาง ซึ่งจะเป็นทั้งสมุดบ่งบอกสถานะ ความประพฤติและความเคลื่อนไหว
สังคมโซเวียตในขณะนั้น จึงเป็นอาณาจักรแห่งการควบคุม กดขี่ และความหวาดกลัว หวาดระแวง โดยอำนาจกระจุกตัวอยู่ในมือเพียงคนไม่กี่คน ด้วยข้ออ้างว่า เพื่อจะได้สะดวกต่อการดำเนินการทุกอย่างเพื่อความเจริญก้าวหน้าของทุกคนเป็นส่วนรวม กลุ่มชนชั้นนำมีสถานะเป็นเจ้ามหาชีวิต และเป็นอภิสิทธิ์ชน
แต่บัดนี้สหภาพโซเวียตล่มสลายไปเสียแล้ว โดยเหลือประเทศเผด็จการสุดขั้วบนผิวโลกนี้เพียงแค่ 3 ประเทศ นั่นคือ จีน เกาหลีเหนือ และคิวบา
ระดับการพัฒนาประเทศของ เกาหลีเหนือ และคิวบา ยังจัดอยู่ในระดับต่ำ โดยความยากจน ความล้าหลัง ยังมีอยู่อย่างทั่วไป ระบบเศรษฐกิจการตลาดยังถูกจำกัดไม่แพร่หลาย คือโครงสร้างเศรษฐกิจ ยังเป็นแบบรัฐคิดวางแผน ดำเนินการ และควบคุม หรือนัยหนึ่งการเป็นเจ้าของกิจการโดยประชาชนพลเมือง ยังมีข้อจำกัดอยู่มาก
กลับกันกับประเทศจีน ที่อดีตผู้นำ เติ้ง เสี่ยว ผิง ได้นำระบบผสมมาใช้ คือ ให้ระบบการเมืองการปกครองเป็นเผด็จการพรรคเดียว ส่วนระบบเศรษฐกิจใช้ระบบตลาดเปิดแบบการผสมผสานระหว่างวิสาหกิจรัฐ กับผู้คน (เอกชน) เป็นเจ้าของกิจการธุรกิจได้ และมีการแข่งขันกัน
และด้วยระบบนี้ แม้ในยุคแรกๆ จะกระท่อนกระแท่นไปบ้าง แต่ก็ทำให้จีนสามารถพุ่งพรวดไปเป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจโลก ในเพียงแค่ระยะเวลาประมาณ 30 ปีเศษ ในวันนี้ จีนมีขนาดเศรษฐกิจแซงญี่ปุ่นขึ้นมาเป็นอันดับที่ 2 ของโลก เป็นรองก็เพียงสหรัฐอเมริกาเท่านั้น
ชาวจีนต่างมั่งคั่ง มีชีวิตกินอยู่ดีขึ้นอย่างรวดเร็ว รัฐบาลจีนจึงมีงบประมาณเหลือไปลงทุนในเรื่องเทคโนโลยีและในเรื่องแสนยานุภาพทางทหารจนตีตื้นขึ้นมาใกล้สหรัฐอเมริกา และรัสเซีย เป็นลำดับ
เมื่อ 500 กว่าปี จีนเป็นประเทศที่เจริญก้าวหน้าที่สุดของโลก แล้วก็ตกมาเป็นเบี้ยล่างของฝ่ายตะวันตก แต่บัดนี้จีนได้พลิกฟื้นตัวเองขึ้นมาและมุ่งที่จะกลับมาเป็นใหญ่ที่สุดของโลกอีก
ระบบการค้าเสรี ภายใต้การกำกับของพรรคคอมมิวนิสต์ได้ช่วยขจัดความอดอยากออกไป ส่งผลให้คนจีนอยู่ดีกินดีขึ้นมาก ทำให้ชาวโลกต่างต้องทึ่งกับผลสำเร็จอันยิ่งใหญ่ของจีน ดังนั้น รัฐบาลจีนจึงดูมีความมั่นใจ มีความทะนง ทะเยอทะยาน และไม่ยินยอมโอนอ่อนต่อใครทั้งสิ้น
ในเวทีระหว่างประเทศยุคนี้ โลกต้องฟังจีน ท่าทีของจีนต่อเรื่องใดๆ มีผลกระทบไปทั่วโลก โดยมีเพียงสหรัฐอเมริกาเท่านั้น ที่จีนเห็นว่าอยู่ในระดับเดียวกัน และเป็นประเทศหลักเดียวที่จีนต้องการจะเหนือกว่าให้ได้ ทั้งทางด้านทหาร เศรษฐกิจ เทคโนโลยี และแม้กระทั่งรูปแบบโครงสร้างประเทศ โดยจีนเห็นว่าระบบพรรคเดียวดีกว่าระบบหลายๆ พรรค หรือนัยหนึ่งระบบเผด็จการดีกว่าระบบประชาธิปไตย ที่จะสร้างเสถียรภาพและนำพาประเทศให้เจริญก้าวหน้า
อย่างไรก็ดี ภายใต้ความอยู่ดีกินดีของประชาชน รัฐบาลจีนยังคงมุ่งหน้าควบคุมประชาชนพลเมือง และบัดนี้ทำได้อย่างเบ็ดเสร็จยิ่งกว่าอดีตสหภาพโซเวียต โดยผ่านทางการใช้เทคโนโลยีสื่อสารสมัยใหม่มาควบคุมการเคลื่อนไหวของประชาชนพลเมืองทุกฝีก้าว 24 ชั่วโมงต่อวัน และมีการขึ้นบัญชีความประพฤติของผู้คนทุกคนแบบการให้ หรือตัดคะแนนความประพฤติ ซึ่งกระทบต่อความเจริญก้าวหน้าในสาขาอาชีพและคุณภาพชีวิต
จีนนั้นประสงค์ที่จะคุมผู้คนให้อยู่หมัด ไม่ให้กล้าคิดเป็นอื่น หรือกล้าหือใดๆ จีน ณ วันนี้จึงจัดได้ว่ากำลังก้าวไปเป็นยอดเผด็จการ และเป็นยอดอาณาจักรแห่งความกลัวและการกดขี่
นั่นจึงทำให้เพื่อนชาวจีนของเราเสมือนกับว่ามีชีวิตอยู่แบบในกรงเยี่ยงสัตว์ในสวนสัตว์ ที่แม้จะอิ่มท้อง แต่ก็ไร้ซึ่งสิทธิเสรีภาพ หรือความเป็นเสรีใดๆ
ยิ่งมีการนำเอาระบบเทคโนโลยีสื่อสารมาเติม มาเสริม ระบบสอดส่อง สอดแนม ก็ยิ่งส่งผลให้คนจีนทั้งประเทศเสมือนกับว่าอยู่ในกรงขังที่มีกล้องวงจรปิดสอดแนมอยู่ตลอดเวลา ฉะนั้น ประเทศจีนก็คือ กรงขังที่ใหญ่ที่สุดในโลกนี่เอง โดยมีผู้นำจีนเป็นเจ้ากรมราชทัณฑ์โดยปริยาย
อย่างไรก็ดี จากประโยคที่ว่า “คับที่อยู่ง่าย คับใจอยู่ยาก” ได้สะท้อนให้เห็นว่า มนุษย์นั้น ยอมแลกความสะดวกสบายทุกอย่างกับอิสรภาพ นั่นจึงส่งให้หน้าประวัติศาสตร์การเมืองของประเทศต่างๆ ได้จารึกว่า ไม่มีผู้นำใดสามารถอยู่ค้ำฟ้า และไม่มีมนุษย์ใดจะยอมเป็นทาสกันไปตลอดกาล ซึ่งหากรัฐบาลจีนไม่ตระหนักถึงข้อนี้ แล้วไม่ปรับเปลี่ยนนโยบายต่อประชาชนของตนเองเสียแต่เนิ่นๆ เห็นทีว่าระบอบการปกครองแบบผสมอย่างที่ตั้งใจจะเผยแพร่ให้เป็นต้นแบบไปทั่วโลกนั้น อาจจะต้องสะดุดลงอย่างน่าเสียดาย
กษิต ภิรมย์
kasitfb@gmail.com
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี