จากกรณีที่คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ประธานยุทธศาสตร์การเลือกตั้งพรรคเพื่อไทย และ 1 ในแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี กล่าวปราศรัยเสนอนโยบายตัดงบกลาโหม 10 เปอร์เซ็นต์ และยกเลิกการเกณฑ์ทหาร
ต่อมา พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) และเลขาธิการคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ในฐานะรองผอ.รมน. เป็นประธานพิธีวันคล้ายวันสถาปนา กอ.รมน.ครบรอบ 11 ปี ประจำปี 2562 เพื่อระลึกถึงความสำคัญและเกิดความภาคภูมิใจในเกียรติประวัติความเป็นมา รวมทั้งเพื่อความเป็นสิริมงคลต่อองค์กร โดยมีผู้แทนผู้บัญชาการเหล่าทัพ คณะกรรมการอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร ผู้แทนจากส่วนราชการ ผู้บังคับบัญชาของกอ.รมน. ข้าราชการ กอ.รมน. และมวลชน กอ.รมน.
ภายหลังจบพิธี ผู้สื่อข่าวได้พยายามสอบถาม พล.อ.อภิรัชต์ ถึงดูแลสถานการณ์ทางการเมืองในช่วงหาเสียงขณะนี้ โดยพล.อ.อภิรัชต์ ย้อนถามกลับว่า “เพลงอะไรที่กำลังฮิตตอนนี้ ก็เพลงหนักแผ่นดินไง” ผู้สื่อข่าวพยายามสอบถามต่อถึงกรณีที่คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ประธานยุทธศาสตร์การเลือกตั้งพรรคเพื่อไทย และ หนึ่งในแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี กล่าวปราศรัยเสนอนโยบายตัดงบกลาโหม 10 เปอร์เซ็นต์ และยกเลิกการเกณฑ์ทหาร พล.อ.อภิรัชต์ กล่าวว่า “ก็ให้ไปฟังเพลงหนักแผ่นดินไง”
ส่งผลให้ คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ประธานยุทธศาสตร์การเลือกตั้งพรรคเพื่อไทย โพสต์เฟซบุ๊คว่า
“...รู้สึกเป็นห่วงวิธีคิดของ ผบ.ทบ. ที่ถือเป็นข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ของประเทศ ที่มีท่าทีอ่อนน้อมอย่างยิ่งกับคนที่เสนอตัวเป็นแคนดิเดตนายกในการเลือกตั้งครั้งนี้ ที่มีที่มาจากการรัฐประหาร แต่แข็งกร้าวกับคนที่เสนอตัวมาเป็นตัวแทนประชาชนตามครรลองประชาธิปไตยแบบไร้เส้น ทั้งที่โดยสถานะผบ.ทบ. ต้องวางตัวเป็นกลางทางการเมือง
ถ้าจะต้องให้บอกว่า จะเพิ่มงบให้กระทรวงกลาโหมจากแสนกว่าล้านบาทเป็นสองแสนกว่าล้านบาท แบบที่รัฐบาลนี้ทำ จึงจะเป็นคนไม่หนักแผ่นดินในสายตา ผบ.ทบ.
ดิฉันจะขอยืนยันในความถูกต้อง ที่ได้เสนอขอปรับลดงบกระทรวงกลาโหมให้เหมาะสมกับสถานการณ์ของประเทศในปัจจุบัน ที่ประชาชนคนส่วนใหญ่กำลังเดือดร้อนอย่างแสนสาหัส กับปัญหาปากท้อง และในเวลานี้ยังไม่ปรากฏภัยคุกคามทางความมั่นคงของประเทศ ถึงขั้นจะต้องใช้กำลังคนและ อาวุธยุทโธปกรณ์มากไปกว่าที่มีอยู่ในปัจจุบัน
ดิฉันขออนุญาตพูดอีกครั้งหนึ่งเผื่อผู้มีอำนาจจะฟังบ้าง เราเสนอให้ลดงบประมาณลงเพียง 10% ในส่วนที่ใช้ซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์ที่เราเห็นว่าไม่มีความจำเป็นต้องซื้ออย่างมากมายในสภาวะที่เศรษฐกิจของประเทศที่แย่อย่างทุกวันนี้
เราชวนกลาโหมให้มาช่วยกันสร้างโอกาส สร้างรายได้ให้กับคนรุ่นใหม่ และประชาชนคนตัวเล็กๆ ในภาวะเศรษฐกิจที่ตกต่ำและตำแหน่งงานน้อยลง งานหายากขึ้น และคนจะตกงานมากขึ้นในอนาคตอันใกล้นี้ จากภาวะเศรษฐกิจ และความเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีที่เข้ามากระทบต่ออาชีพต่างๆ ซึ่งเราต้องเตรียมความพร้อมให้กับประชาชนคนไทยและเด็กรุ่นใหม่ของเรา
งบประมาณที่ขอแบ่งมา 10% นี้เป็นจำนวน เพียง 20,000 ล้านบาท จากงบประมาณกระทรวงกลาโหม ทั้งหมด กว่า 200,000 ล้านบาท จะเอามาช่วยคนรุ่นใหม่ให้มีอาชีพ ได้เป็นเจ้าของธุรกิจ ซึ่งจะช่วยเด็กรุ่นใหม่ และประชาชนได้ มากกว่า 30,000 คนต่อปีซึ่งเป็นการให้โอกาสคนรุ่นใหมได้มาเป็นกำลังในการผลิตและสร้างรายได้ให้กับประเทศ
ทหารและงบประมาณทหารมีความจำเป็น แต่ควรใช้เท่าที่จำเป็นและใช้ให้มีประสิทธิภาพต่อการพัฒนากำลังพลและศักยภาพของกองทัพ
การเสนอให้ยกเลิกการเกณฑ์ทหาร ให้ใช้ระบบสมัครใจเข้ารับราชการ จะเป็นการพัฒนาบุคลากรที่เข้ารับราชการทหารเพราะได้เข้ามาด้วยความเต็มใจก็จะทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ รวมทั้งจะใช้งบประมาณน้อยกว่า
เรายืนยันว่างบประมาณส่วนที่ขอแบ่งมาจากงบซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์เพียง 10% นี้จะไม่กระทบต่อการดูแลรายได้ และสวัสดิการของกำลังพล ตรงกันข้ามเรากลับมองว่า เราควรจะสนับสนุนในการเพิ่มเงินเดือนและสวัสดิการของทหารชั้นผู้น้อย เพื่อให้เขามีคุณภาพชีวิตดีขึ้น สมกับความเสียสละของเขาที่ถือเป็นเหล่าทหารกล้า
โดยส่วนตัวดิฉันชื่นชมทหารที่เป็นทหารอาชีพ เพราะเขาเหล่านั้นเป็นผู้เสียสละในการปกป้องอธิปไตยของชาติ และสนับสนุนให้ทหารอาชีพเหล่านี้ได้มีเกียรติมีศักดิ์ศรี และมีคุณภาพชีวิตที่ดี
แต่ดิฉันไม่ชื่นชมทหารที่มาทำรัฐประหารยึดอำนาจจากประชาชน”
เรามาวิเคราะห์เรื่องนี้กัน
1) การศึกษาธรรมและปฏิบัติธรรม เหมือนไม่ได้ช่วยขัดเกลาสันดานจิกกัดของคุณหญิงสุดารัตน์ให้หมดไป หลายข้อความเป็น “วจีทุจริต” ที่ไม่จำเป็นต้องกล่าว เช่น “...มีท่าทีอ่อนน้อมอย่างยิ่งกับคนที่เสนอตัวเป็นแคนดิเดตนายกฯในการเลือกตั้งครั้งนี้ ที่มีที่มาจากการรัฐประหาร แต่แข็งกร้าวกับคนที่เสนอตัวมาเป็นตัวแทนประชาชนตามครรลองประชาธิปไตยแบบไร้เส้น...” อันนี้เป็นสภาวะปากสกปรก ที่ขาดปัญญาไตร่ตรองความจริง และไม่ซื่อสัตย์ต่อความจริงที่ว่า บิ๊กแดงแสดงความเคารพนบนอบต่อผู้ดำรงตำแหน่ง “นายกรัฐมนตรี” ไม่ใช่ต่อแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี ซึ่งไม่จำเป็นต้อง “เหน็บจิก” ว่ามาจากรัฐประหารหรือไม่ มีเส้นหรือไม่มี และท่าทีเคารพนบนอบที่ว่า ก็ไม่ใช่การ “ไม่เป็นกลางทางการเมือง” อะไรเลย เพราะไม่ใช่การช่วยหาเสียง หรือประกาศสนับสนุน หากวางใจให้เป็นกลาง ทำจิตให้บริสุทธิ์ วิธีคิดและคำพูดเช่นนี้ย่อมไม่ถูกผลิตออกมา และนำมาสื่อสารอย่าง “จงใจ” เช่นนี้
2) เช่นกันกับเรื่องชื่นชมทหารอาชีพ ไม่ชื่นชมทหารรัฐประหาร ที่สุดารัตน์ก็ไม่แยกแยะให้ประณีตว่า ทหารเขามารัฐประหาร เพราะฝ่ายการเมืองมันล้มเหลวในความมีธรรมาภิบาล ไม่รักษาหลักนิติรัฐ นิติธรรม จนเป็นเหตุให้ประชาชนออกมาชุมนุมขับไล่ ซึ่งเป็นการใช้สิทธิและเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญ แต่ไม่ได้รับการคุ้มครองจากรัฐ ปล่อยให้มีการใช้อาวุธสงครามกับผู้ชุมนุม จนสถานการณ์บานปลาย เป็นเหตุให้ฝ่ายกองทัพต้องออกมาควบคุมสถานการณ์ และให้ฝ่ายการเมืองประชุมหาทางออกกัน แต่กลับไม่ให้ทางออก จนนำมาสู่การประกาศยึดอำนาจ สุดารัตน์เองก็ไม่กล้าหาญพอที่จะยอมรับว่า พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ของพรรคเพื่อไทย คือจุดเริ่มต้นของความฉิบหายทางประชาธิปไตยในบ้านเมืองเรา
3) อย่างไรก็ตาม การบอกให้ไปฟังเพลง “หนักแผ่นดิน” ก็ไม่ใช่ท่าทีที่สร้างสรรค์เช่นกัน หากไม่มีอะไรจะพูด ก็บอกแต่เพียงว่า “ไม่มีความเห็นกับเรื่องนี้ครับ” หรือหากมีความเห็นที่จะโต้แย้ง ว่ากองทัพมีความจำเป็นต้องคงไว้ซึ่งการเกณฑ์ทหาร เพราะเหตุใด ส่วนงบของกระทรวงกลาโหมนั้น มกระบวนการพิจารณาจัดสรรของมันอยู่แล้ว ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับผมโดยตรง หรืออะไรก็ตาม ชี้แจงออกมาสิครับ สร้างความเข้าใจให้สังคม และสร้างบรรยากาศที่ดี เพื่อนำบ้านเมืองออกจากความขัดแย้งโดยไม่จำเป็น ใครจะจิกกัดสันดานเลว ปากชั่ว หรือกล่าวเท็จอะไรก็ตาม เป็นหน้าที่ของเราที่จะคงไว้ซึ่ง “วุฒิภาวะ” ในการชี้แจงต่อสังคม เป็นแบบอย่างของคนที่มีเหตุผล ไม่ไหวตามวจีทุจริต
ทั้งหลายที่จงใจผลิตขึ้น
4) สังคมเองก็ไม่จำเป็นต้อง “เมามัน” สนุกสนานไปกับการไล่ไปฟังเพลง “หนักแผ่นดิน” จนเกินไป ควรตั้งคำถามต่อเนื่องจากเหตุการณ์นี้ว่า ตกลงกองทัพมีท่าทีหรือเห็นอย่างไร กับข้อเสนอของฝ่ายการเมืองเรื่องตัดลดงบประมาณ กับการยกเลิกการเกณฑ์ทหาร ซึ่งหากฝ่ายกองทัพอธิบายให้ประชาชนเห็นความสำคัญที่จะคงไว้ซึ่งการเกณฑ์ทหาร และการใช้งบประมาณตามความจำเป็นแล้ว ปัญหาก็จะไปตกอยู่กับฝ่ายการเมืองเอง ที่เสนอนโยบายอย่างไร้เหตุผล และมุ่งเล่นงานทหารจนหน้ามืดตามัว ประชาชนที่มีวุฒิภาวะพอ ก็จะไม่เลือก และไม่สนับสนุนพรรคการเมืองเช่นนั้นเอง
5) ในความเป็นจริง สุดารัตน์เคยเป็น สส. เป็นรัฐมนตรีมาก่อน ย่อมรู้ว่า งบประมาณนั้น ใช่ว่ากระทรวงใดเสนอมาเท่าไหร่ สภาจะอนุมัติให้ตามนั้นเสียทั้งหมด มีการปรับลด ปรับเพิ่ม โดยสภาผู้แทนราษฎรนี่แหละ มีการอภิปรายร่างพระราชบัญญัติงบประมาณประจำปี มีการตั้งกรรมาธิการเพื่อเปลี่ยนแปลงแก้ไข ไม่ใช่ว่าฝ่ายกองทัพขอมาเท่าไรก็ต้องให้เท่านั้นสักหน่อย เมื่อรู้กลไกการกำหนดงบประมาณเช่นนั้นแล้ว ทำไมต้องหาเสียงด้วยการพุ่งเป้าไปที่กองทัพ วิเคราะห์ได้ไม่ยากครับ เพราะแคมเปญของพรรคเพื่อไทย ออกมาในรูปของการ “หาความนิยมบนความเกลียดชัง” กองทัพ ตั้งแต่วาทกรรม เผด็จการทหาร สืบทอดอำนาจ จะเลือกเผด็จการหรือประชาธิปไตย เป็นเช่นนี้มาโดยตลอด นับแต่เริ่มหาเสียงเลือกตั้ง
6) การที่สุดารัตน์กับพรรคเพื่อไทย จะทำโครงการ “เถ้าแก่ใหม่” จึงไม่จำเป็นต้องกำหนดว่า จะเอางบประมาณมาจากกลาโหม 10% เพราะโครงการใดที่เป็นนโยบายของพรรคการเมือง หากได้เป็นรัฐบาล ย่อมกำหนดงบประมาณและดำเนินโครงการตามหมวดหมู่ของนโยบายนั้นๆ ว่าควรอยู่ในความรับผิดชอบของกระทรวงใด เช่น โครงการ “เถ้าแก่ใหม่” ที่สุดารัตน์หาเสียงนี้ สามารถใช้งบประมาณของกระทรวงแรงงานก็ได้ กระทรวงพาณิชย์ก็ได้ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ก็ได้ แม้กระทั่งกระทรวงดิจิทัลก็ยังได้ และถึงเวลาจะโยกงบประมาณจากกลาโหมได้หรือไม่ได้ อยู่ที่มติของสภาผู้แทนราษฎร และจริงกว่านั้นคือ จัดสรรงบโดยไม่ต้องไปโยกงบของใครมาก็ได้
ในเรื่องนี้จึงต้องตำหนิสุดารัตน์ด้วย ที่ไปเปิดประเด็นเช่นนั้น และควรตำหนิ ผบ.ทบ.ด้วยเช่นกัน ที่ไม่แสดงความมีวุฒิภาวะ อธิบายกลับให้มีเหตุผล
แต่สิ่งที่น่าเศร้าใจคือ สังคมไทยก็ “อร่อย” กับความเผ็ดร้อนเรื่อง “หนักแผ่นดิน” นี้ จนลืมไปว่า “คำตอบ” ที่เราควรจะได้รับยังไม่มี เพราะหากพบคำตอบดีๆ เราจะพบความไม่มีเหตุผลของสุดารัตน์กับพวกไปด้วยในตัว!!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี