ความยุ่งยากทั้งหลาย ทั้งในอดีต ปัจจุบัน และอนาคต ล้วนเกิดจากการพยายามผูกขาด “ความเป็นคนดี” โดยไม่สนใจ “วิธี” ที่ตนเองใช้
บ้านเมืองมีพลเมือง 70 กว่าล้านคน ใน 70 กว่าล้านคนนี้ล้วนมีความมุ่งหมาย ความต้องการ และหลักการที่ต่างกันไป แทนการพยายามหาความยินยอมพร้อมใจ กับเลือกที่จะใช้วิธี “แบ่งแยก” เพื่อ “ชิงอำนาจ” กันมาโดยตลอด
ความแตกแยก ที่ถูกบงการให้เกิดขึ้นซ้ำๆ ซ้ำๆ นั่นเอง ที่กลายเป็น “รากลึกของปัญหา” ในทุกวันนี้
เราไม่ปลูกฝังการยอมรับ “ความแตกต่าง” และเคารพ “กติกา”
เราพบว่าบ้านเมืองของเราพยายามสร้าง “กติกู” กล่าวคือ ถ้าเป็นพวกกู กระทำโดยพวกกู ทุกอย่างถูกหมด ดีหมด เพราะพวกกูคือฝ่ายประชาธิปไตย หรือเพราะพวกกูคือคนดี คือคนรักชาติ ศาสน์ กษัตริย์
“วิธี” ที่ใช้ต่างหาก ที่บอกถึง “ความดี” หรือ “ความชั่ว”
“คนดี” ไม่พึงใช้ “วิธีชั่ว”
เพราะวิธีชั่วๆ ไม่ก่อให้เกิดความดีที่เป็นที่ยอมรับได้ และจะลงเอยตรงที่ “ทีมึงกูไม่ว่า ทีข้าเอ็งอย่าโวย”
ดูปัจจุบันนี่สิครับ ความพยายามที่จะ “สร้างความได้เปรียบ” ด้วยการยัดคำถามพ่วงเข้ามาแนบไว้กับรัฐธรรมนูญ เพียงเพื่อจะให้ สว. เข้ามาแทรกแซงการเลือกนายกรัฐมนตรี กำลังเป็น “กับดัก” ที่ต้องหาทางออกกันอยู่ในตอนนี้
เพราะมันเป็น “วิธีที่ไม่ได้รับการยอมรับ”
แม้พวกหนึ่งพยายามจะบอกว่า เฮ้ย!! หลักเกณฑ์นี้ มันผ่านการลงประชามติของประชาชนมาแล้วนะโว้ย แล้วยังไงล่ะ ก็ในเมื่อคนอีกส่วนหนึ่งเขาบอกว่า มันไม่ใช่วิธีจริต พวกมากแล้วไง พวกมากแล้วถูกต้องเหรอ? จะเอาอย่างนั้นใช่ไหม?
ยอมรับกันเถอะครับว่า ความยุ่งยากและความสุ่มเสี่ยงมากมายหลายประการของปัจจุบันและอนาคตอันใกล้ คือการใช้ “วิธีที่ไม่สร้างความชอบธรรมให้บังเกิด”
การใช้เสียงข้างมากลากไป นำพาให้นายทักษิณ ชินวัตร ได้ก่อกำเนิดคำว่า “เผด็จการรัฐสภา” และ “คอร์รัปชั่นเชิงนโยบาย” และนำพา “ความฉิบหาย” มาสู่รัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร จากการผลักดัน พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ซึ่งใช้เสียงส่วนใหญ่ในสภา แต่มันไม่ถูกต้องทั้งหลักการและวิธีการ สุดท้าย ฉิบหายเกิด!!
เวลานี้พรรคพลังประชารัฐ ซึ่งชนะการเลือกตั้งด้วย “คะแนนรวม” ที่กำลังใช้คำว่า “ป๊อปปูลาร์โหวต” กันอยู่ ขณะที่พรรคเพื่อไทยชนะการเลือกตั้งด้วย “จำนวน สส.” และกำลังแข่งขันกันจัดตั้งรัฐบาล
ถกเพียงกันอุตลุดว่า จะเอายังไง จะใช้ป๊อปปูลาร์โหวตหรือจะใช้จำนวน สส. เพื่อให้เกิดความชอบธรรมว่า ใครมีสิทธิโดยชอบในการเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลที่จริงก็พูดกันมาก่อนหน้านี้แล้วว่า ใครมีความสามารถที่จะรวบรวมเสียงได้ ก็ไป “ชนะโหวต” กันในสภา ไม่ได้มีปัญหาเลยว่า ต้องเป็นที่หนึ่งหรือที่สอง เช่นกันกับในหลายๆ ประเทศ เขาก็แข่งขันกันที่ความสามารถในการ “รวมเสียง” เพื่อ “ชนะโหวต”
กฎหมายก็ไม่ได้เขียนไว้ให้ชัด เพราะหากเขียนไว้มันจะผูกมัดกันเกินไป หากพรรคที่ชนะจัดตั้งรัฐบาลไม่ได้ ก็เจอทางตันกันพอดี
เมื่อหลักกฎหมายไม่มี ก็ต้องดูหลักความจริง ว่าบารมีของคนชนะ แนวทาง แนวนโยบายของเขา จะผนึกผสานให้คนอื่นๆ พรรคอื่นๆ มาร่วมสนับสนุนการจัดตั้งรัฐบาลได้หรือไม่
การจัดตั้งนรัฐบาลที่ว่า มันเริ่มต้นจากการที่ให้สภาโหวตเลือก “นายกรัฐมนตรี” แล้วนายกฯ นั่นแหละ เป็นคนไปจัดตั้งรัฐบาล นั่นคือส่วนของพิธีการ/พิธีกรรม แท้จริงแล้วเขาจัดตั้งกันมาก่อน จึงมีเสียงสนับสนุนพอให้โหวตเลือกนายกฯ ได้ และชนะการโหวตนั้น
รอบนี้มันไม่ปกติตรงที่ กระบวนการเตรียมกติกาว่าด้วยการโหวตเลือกนายกฯ ด้วยการให้สมาชิกสภาปฏิรูป “ชง” ว่า เพื่อให้การปฏิรูปบ้านเมืองเป็นไปด้วยความเรียบร้อย ดังนั้น สมควรให้สมาชิกวุฒิสภามาร่วมโหวตนายกรัฐมนตรีในช่วง 5 ปีแรกนี้ก่อนไหม พอเรื่องเข้า สนช. ปุ๊บ ก็ผ่าน จึงแปลงร่างมาเป็น “คำถามพ่วง” อยู่ท้ายรัฐธรรมนูญที่นำไปทำประชามติ
ในการทำประชามติ มีประชาชนกี่คนได้รับและได้อ่านร่างรัฐธรรมนูญกับคำถามพ่วง และถกเถียงเรื่องนี้กันอย่างจริงจัง มีแต่บรรยากาศในทำนองว่า ถ้ารัฐธรรมนูญไม่ผ่าน “ลุงตู่” จบเลยนะ ต้องๆไปแล้วนะ หูยยยย...เดือดร้อนกันใหญ่ ต้อง #เซฟลุงตู่
แล้วไง... วันนี้คนจำนวนไม่น้อยเขาระแวงระวังว่า ทุกอย่างเขียนเป็นกติกาเพื่อ “ลุงตู่” คนเดียว ล็อกสเปกไว้เลยนี่หว่า ไม่ยอมโว้ย!! ไม่ยอม!!
ไหนล่ะ ที่บอกว่า “เลือกความสงบ จบที่ลุงตู่”
ก็บอกแล้วว่า ไอ้กติกาที่เขียนปูทางทุกอย่างเพื่อลุงตู่ ทั้งให้ สว.มาร่วมโหวตเลือกนายกฯ สว.มาไง อยู่ๆ ก็มาเพิ่มกติกาว่า ให้ คสช. เลือก สว. เลย เลือกได้เยอะซะด้วย คือเลือกได้ทั้งหมด แม้บางส่วนจะมาจากการสมัครและเลือกกันเองมาก่อนก็ตาม แต่บั้นปลายท้ายสุด ก็เป็น คสช. นั่นแหละที่เลือก แล้วใครคือหัวหน้า คสช. ล่ะครับ ลุงตู่ไงครับ แล้วลุงตู่เป็นใครอีกล่ะครับ เป็นแคนดิเดตนายกฯ ไงครับ แคนดิเดทนายกฯ ที่ได้สิทธิ์เลือก สว. ที่จะมาร่วมโหวตให้ใครสักคนเป็นนายกฯ
ภาวะประโยชน์ทับซ้อนและ “ให้คุณให้โทษ” กันได้แบบนี้แหละ คือตัวปัญหา
ไม่ได้บอกว่า สว.จะเป็นขี้ข้าลุงตู่ทั้งหมด และไม่ได้บอกว่า ลุงตู่แม่งขี้โกง
กำลังบอกว่า “กติกามันสร้างปัญหา” เพราะมันมาในทำนอง “กติกู”
ดังนั้น อย่าเผลอใช้ สว. หักดิบให้เข้าทางอีกฝ่ายหนึ่งเลยนะครับ
ยิ่งในภาวะที่ กกต. ดูลับๆ ล่อๆ ดูงุนๆ งงๆ จัดการเลือกตั้งแบบมึนๆ แบบนี้ เช่น เลือกตั้งในต่างประเทศ รูปกับข้อมูลผู้สมัครไม่ได้อยู่ด้วยกัน พอผู้สมัครเขาสอบถาม ก็บอกว่า เฮ้ย! ในแอพพลิเคชั่นก็มีให้ดู ทำไมไม่ดูอ่ะ บัตรลงคะแนนบางประเทศมาถึงหน่วยนับคะแนนไม่ทัน กลายเป็น “บัตรเสีย” สายการบินบอกว่า มาถึงนานแล้วไม่มารับเอง กกต.บอกว่าไปรับแล้ว แต่มีขั้นตอนที่ทำให้ล่าช้า คะแนนรวมจากหน่วยเลือกตั้งต่างๆ ขาดๆ เกินๆ ก็บอกสื่อมวลชนบวกผิด คะแนนรวมเพื่อคำนวณบัญชีรายชื่อ ก็บอกยังไม่เปิดเผย เอ๊ะ!! จะเอายังไงเนี่ย
มันชวนให้นึกถึงยุคทักษิณมีอำนาจ ทั้งแก้กฎหมายให้ตนเองและสมัครพรรคพวกได้ประโยชน์ ทั้งมีสัมพันธ์แบบแปลกๆ กับ กกต. ชุด “สามหนาห้าห่วง” นี่บ้านเมืองเราวนกลับไปสู่โครงสร้างแบบเดิมอีกแล้วหรือ
คือ “ใครมีอำนาจ คนนั้นใช้อำนาจ โดยไม่เลือกวิธีการ” ที่นำมาสู่การยอมรับได้ แม้กับฝ่ายที่คิดต่าง
เวลานี้ จึงอยู่ในสภาพ “ลิงแก้แห” เพราะ “จุดอ่อน” จากกติกาที่ปูทางกันมา ทำให้อีกฝ่าย “ใช้โจมตี” ได้
มีเวลาอีกเกือบ 2 เดือน ตามกฎหมาย ที่ให้เวลา กกต. ได้ตรวจสอบข้อร้องเรียนต่างๆ แล้วค่อยประกาศรับรองสส. ให้ได้ 95% เพื่อนำไปสู่การเปิดประชุมสภานัดแรก เชื่อเถอะว่า ยังมีอีกหลายความขัดแย้งให้ “ตีกัน”
ระหว่างนั้นอย่าลืมว่า เรายังมีรัฐบาล “ปกติ” ดูแลบ้านเมืองอยู่นะครับ
ตั้งแต่ก่อนการเลือกตั้งจนบัดนี้ สื่อไทยเอาแต่ “จัดตั้งรัฐบาล” มากกว่าเร่งรัดว่า ปัญหาของประชาชนที่ต้องได้รับการแก้ไข มีอะไรบ้าง และรัฐบาลปัจจุบันต้องทำทันที โดยมีรัฐบาลใหม่สานต่อปัญหาที่คั่งค้างอยู่ ให้ได้รับการแก้ไขต่อไป
ก่อนการเลือกตั้ง ลุงตู่ขยันลงพื้นที่จัง ตรวจราชการสารพัด เดือนนี้ไม่มีคิวเลยหรือครับ
นอกเหนือจากการโอนเงินผ่านบัตรคนจน บัตรคนแก่ และอสม. แล้ว ตอนนี้จะแก้ปัญหาภัยแล้งที่ท่าว่าจะรุนแรงยังไงไหมครับ
ราคายางพารา ราคาปาล์มน้ำมัน การแก้ไขผลกระทบจากมาตรการด้านการประมง ฯลฯ ทำอย่างไรกันอยู่บ้างครับ รัฐบาลใหม่ยังจัดไม่ได้ ก็ช่างเขาสิครับ แต่รัฐบาลปัจจุบันซึ่งมีอำนาจเต็ม ไม่ใช่รัฐบาลรักษาการ ต้องทำงานตามปกตินะครับ ทุกข์ของราษฎรไทยไม่ใช่การจัดตั้งรัฐบาลไม่ได้ เพราหากตั้งรัฐบาลไม่ได้ รัฐบาลปัจจุบันก็ทำงานต่อไปก็แค่นั้นเอง
เรื่องการต่อรองกันว่าใครชอบธรรมที่จะตั้งรัฐบาล เรื่องเงื่อนไข 3 ข้อ ของพรรคอนาคตใหม่ ที่จะแก้รัฐธรรมนูญ ยกเลิกการนิรโทษกรรมคณะรัฐประหาร และปฏิรูปกองทัพให้พลเรือนควบคุมได้ ย่อมไม่ใช่สัญญาณของ “ความสงบ”
ขณะเดียวกัน ทักษิณก็เริ่มออกมาพล่านในสื่อ
ฝ่ายต้านลุงตู่กำลังเดินเกม “ยั่วยุ” ด้วยการชี้ไปที่ “กติกา” ที่ถูกออกแบบมาให้เพื่อให้ได้เปรียบ กำลังยั่วโทสะ “กองทัพ” ที่ก่อนหน้านี้ มี “ตบะแตก” เป็นระยะๆ
ดีว่าที่ตอนนี้ลุงตู่อยู่ในโหมดอารมณ์ดี ไม่ออกมาปะทะด้วย
ความสงบจึงยังจบที่ลุงตู่อยู่
ก็ได้แต่หวังว่า “เงื่อนไข” ในกติกาและวิธีการจัดตั้งรัฐบาล คงลงเอยด้วย “ความสงบ” ได้
หลังจากนั้นค่อยไปลุยกันต่อไป เมื่อในสภาเต็มไปด้วย “ใครก็ไม่รู้” ที่ยังไม่เคยอยู่ในกติกาของรัฐสภามาก่อน นึกไม่ออกว่าจะ “หนักหน่วงปานใด” ไม่ว่าใครจะเป็นฝ่ายค้านหรือฝ่ายรัฐบาล!!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี